Chapter 48 จุดกำเนิด 4 อาณาจักร
ฮารีซัน ทราเฮิร์น ลูกเรือและบรรดาผู้อพยพทั้งสองอาณาจักรต่างเริ่มรู้สึกกระสับกระส่ายกับการรอคอยผลการประชุมสามสภาที่มีขึ้นหลังจากการมาถึงของพวกเขาได้ราวสองสัปดาห์ ความหวั่นวิตกทวีมากขึ้นในทุก ๆ นาที จากนาทีเป็นชั่วโมงจากชั่วโมงเป็นวัน โดยไม่มีข่าวคราวหรือสัญญาณใด ๆ จากที่ประชุมหรือเจ้าหญิงอลาน่าเลย
และแล้ววันที่สี่แห่งการรอคอยนั้นเอง ม้าเร็วจากที่ประชุมสภาก็มุ่งตรงมายังค่ายผู้อพยพอย่างรวดเร็วพร้อมทั้งมีสารเชิญผู้นำกองทัพฟูดินันเข้าฟังผลการชุมสภาในทันที เมื่อได้ยินดังนั้นทุกคนในค่ายก็ยิ่งทั้งตื่นเต้นและตื่นตระหนก ต่างก็ทั้งอยากรู้และกลัวผลที่กำลังจะได้รับฟัง แม้แต่ฮารีซันเองก็ยังอดรู้สึกตื่นเต้นและลุ้นผลด้วยใจระทึกจนยืนนิ่งอยู่ชั่วอึดใจใหญ่กว่าจะก้าวขึ้นม้าที่ถูกจัดเตรียมไว้ให้
ทันทีที่ไปถึงที่ประชุมสภา ฮารีซันก็ถูกนำตรงไปตามทางที่ทอดยาวและเลี้ยวลด อ้อมอาคารสีฟ้าขาวที่ถูกตกแต่งด้วยความวิจิตรตระการตาจนมาถึงอาคารหลังสีขาวบานประตูสีฟ้าเข้มขนาดใหญ่ประดับด้วยรูปมังกรน้ำจอร์มันการ์ดพันจอกสีน้ำเงิน ทหารผู้นำทางฮารีซันหยุดที่หน้าประตูใหญ่พร้อมกับขานชื่อและการมาถึงของเขาด้วยเสียงอันดัง ประตูค่อย ๆ ถูกเปิดออก พร้อม ๆ กับเสียงขานการมาถึงของเขาดังเป็นทอด ๆ เบื้องหลังประตูนั้นมีทางเดินที่ปูด้วยพรมชั้นดีเนื้อหนาสีน้ำเงินเข้มทอดยาวออกไปอีก ฮารีซันต้องเดินเลาะตามแนวทหารที่วางกำลังไว้ตามโค้งอีกสามโค้งกว่าจะมาถึงห้องที่ถูกใช้เป็นที่ประชุมสามสภา
ทันทีที่ประตูถูกเปิดฮารีซันก็ต้องตกใจกับภาพเบื้องหน้ายิ่งขึ้น เพราะบรรดาผู้ที่อยู่ในห้องล้วนแต่งตัวด้วยเสื้อเต็มยศซึ่งแน่นอนว่าถูกตัดเย็บด้วยวัสดุและช่างฝีมือที่ดีที่สุด ทั้งบุคคลภายในห้องและแม้แต่บรรยากาศการตกแต่งด้วยตัวห้องประชุมเองก็ดูหรูหราแตกต่างจากผู้นำเผ่าชาวป่าราวฟ้ากับดิน
“เข้ามาสิจ๊ะ ท่านฮารีซัน” เจ้าหญิงอลาน่าทรงตรัสเรียก
ฮารีซันก้าวเข้าไปท่ามกลางที่ประชุม มีเสียงกระซิบกระซาบดังมาจากบรรดาผู้ที่อยู่โดยรอบห้องประชุมนั้น หัวหน้าเผ่าฟูดินันสังเกตเห็นว่าที่นั่งต่าง ๆ ภายในห้องนั้นถูกแบ่งอย่างเป็นระเบียบโดยมีสภาพ่อค้าอยู่ฝั่งซ้าย สภาศาสนาอยู่ฝั่งขวา เบื้องหน้าคือสภาขุนนาง ที่เบื้องหลังสภาขุนนางนั้นมีบัลลังก์สูงที่ถูกตกแต่งและประดับประดาอย่างสวยงามด้วยอัญมณีและทองคำซึ่งสวยงามที่สุดเท่าที่ชาวป่าสักคนจะเคยเห็นและบนบัลลังก์นั้นมีเจ้าหญิงอลานาประทับอยู่
ผู้นำจากเผ่าฟูดินันทำความเคารพเจ้าหญิงอลาน่าก่อน แล้วจึงหันไปคำนับสมาชิกสภาทั้งซ้ายและขวา
“ท่านคงจะทราบแล้วว่าฉันส่งทหารไปเชิญท่านมาด้วยเรื่องอะไร เรื่องที่ท่านร้องขอความช่วยเหลือนั้น ที่ประชุมนั้นไม่เห็นด้วยที่เราจะรีบส่งทหารของแอนดิซองเข้าร่วมในสงครามนี้ สภาจะขอรอดูสถานการณ์การรบไปอีกสักพัก ส่วนสภาพ่อค้านั้นยินดีที่จะขายอาวุธยุทโธปกรณ์บางส่วน รวมทั้งมอบอาวุธ และข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นต่าง ๆ ให้แก่กองทัพร่วมฟีเลเซียและฟูดินัน และเพราะแอนดิซองไม่ได้ให้ความช่วยเหลือทางการทหารแก่กองทัพทั้งสอง ดังนั้นทางราชสำนักแอนดิซองจะให้ความช่วยเหลือแก่กองทัพในด้านการเงินและเสบียงอาหารแก่กองทัพแทน ซึ่งฉันหวังว่านี่จะช่วยแบ่งเบาภาระด้านค่าใช้จ่ายของกองทัพได้บ้าง”
“ข้าขอเป็นตัวแทนกองทัพร่วมของฟีเลเซียและฟูดินันเพื่อกล่าวขอบคุณทุก ๆ ท่านที่อยู่ที่นี่ การที่พวกท่านให้ความช่วยเหลือพวกเราเช่นนี้ ข้าไม่รู้จะตอบแทนน้ำใจของพวกท่านอย่างไรดี” ฮารีซันกล่าวขอบคุณด้วยใจจริงและรู้สึกโล่งใจอย่างที่สุดที่ภารกิจของเขาสำเร็จได้ด้วยดี แม้จะไม่ได้กองทัพมาเสริมแต่อย่างน้อยเงินและเสบียงอาหารที่เขาจะได้รับความช่วยเหลือจากแอนดิซองก็แบ่งเบาภาระไปได้มากอย่างแน่นอน
“อย่าเกรงใจไปเลยท่านฮารีซัน” เจ้าหญิงตรัส
“แล้วท่านคิดว่าจะเดินทางกลับเมื่อไหร่รึ?” สมาชิกระดับสูงของสภาขุนนางเอ่ยถามขึ้น
“ข้าเองนั้นอยากจะเดินทางกลับในทันทีเพราะพวกเราก็จากสนามรบมาแรมเดือนแล้ว ไม่รู้ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไรบ้าง?”
“เข้าใจแล้ว ถ้าเช่นนั้นเมื่อทางเราเตรียมทุกสิ่งทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ฉันจะจัดเรือพร้อมเงินช่วยเหลือรวมทั้งเสบียงต่าง ๆ ให้ท่านทันที” เจ้าหญิงตรัสพร้อมให้สัญญาณไปทางเสนาบดีฝ่ายการคมนาคมทางทะเล ซึ่งจะเป็นผู้จัดเตรียมเรือให้คณะของฮารีซันในการเดินทางกลับ
“ข้าขอขอบคุณในความกรุณาของเจ้าหญิงเหลือเกิน” ฮารีซันกล่าวด้วยความซาบซึ้งใจ
เจ้าหญิงทรงพยักพระพักตร์รับคำขอบคุณด้วยพระพักตร์ที่อ่อนโยนก่อนจะให้สัญญาณลั่นระฆังเพื่อประกาศปิดสภา
******************************
ผ่านมาได้หกวันแล้ว หลังจากที่การประชุมสภาได้สิ้นสุดลง ระหว่างที่ฮารีซันพำนักอยู่ที่ค่ายผู้อพยพ ทุกวันเขาจะออกไปช่วยบรรดาซิสเตอร์แจกจ่ายอาหาร เมื่อว่างก็จะออกพูดคุยกับบรรดาชาวป่าที่ลี้ภัยมาอาศัยอยู่ที่อาณาจักรแอนดิซอง บรรดาชาวป่าเองก็มักจะมาคุยกับเขาเสมอเช่นกัน เพราะทุกคนต่างก็อยากจะได้ฟังข่าวคราวความเป็นไปในเผ่าของตน และอาจจะได้รู้ข่าวคราวของสมาชิกในครอบครัวบ้างไม่มากก็น้อย ฮารีซันพบว่านอกจากเขาจะได้ถ่ายทอดข่าวสารต่าง ๆ ให้พี่น้องต่างเผ่าแล้ว เขาก็ยังได้รับรู้เรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นที่อาณาจักรแห่งนี้อย่างมากมายทีเดียว โดยเฉพาะเรื่องราวความรักและเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ของเจ้าหญิงแอนดิซอง ผู้ทุ่มเทชีวิตให้กับการช่วยเหลือเหล่าคนยากจน และผู้อพยพ ไม่ว่าจะเรื่องความสะมะถะของเจ้าหญิง การเสียสละทรัพย์สมบัติของพระองค์อย่างไม่คิดเสียดายในการสร้างค่ายผู้อพยพขึ้นมา รวมทั้งเรื่องที่พระองค์ทุ่มเททำงานอย่างหนักเพื่อผู้ยากไร้จนล้มป่วย จนฮารีซันรู้สึกว่าชั่วชีวิตนี้เขาคงไม่อาจจะตอบแทนบุญคุณของเจ้าหญิงพระองค์นี้ที่ได้ช่วยเหลือผู้คนจากเผ่าของเขาได้หมด แต่แทนที่จะมาตอบแทนบุญคุณ เขากลับมาขอความช่วยเหลือเจ้าหญิงอีก ไม่น่าแปลกใจเลยที่ราชองครักษ์ของเจ้าหญิงจะพยายามขัดขวางและไม่ต้อนรับเขา นี่เองเป็นสาเหตุให้ฮารีซัน ยอมรับและไม่ถือโทษความขุ่นเคืองของราชองครักษ์อองเดร แต่ความรู้สึกที่ลึกซึ้งและเพิ่มพูนขึ้นเรื่อย ๆ ในจิตใจของผู้นำชาวป่าก็คือความซาบซึ้งในบุญคุณของเจ้าหญิงอลาน่าที่มีต่อเขาและบรรดาผู้อพยพนั่นเอง