Chapter 40 หนักแน่นดุจภูผา โหมกล้าดั่งพายุ
เสียงกลองศึกของจักรวรรดิซาโลมดังขึ้นในสายของวันน็อกซ์ (Nox)วันแห่งธาตุมืดตามคัมภีร์การสร้างโลกที่มีบันทึกไว้ตั้งแต่อดีตกาล ยอดธงวิหคเพลิงปรากฏขึ้นที่ยอดเนินปลายสุดของสนามรบ ด้วยความที่เมืองคามินยาร์ดเป็นเมืองที่อยู่ติดเทือกเขาคีรีบันดาจึงทำให้เมืองตั้งอยู่บนเนินสูงและสามารถมองเห็นกองทัพของจักรวรรดิซาโลมได้เกือบทั้งกองทัพอย่างชัดเจน กษัตริย์ซิกมันด์ เจ้าหญิงเรจิน่าและ ชาร์ล คลาแรนซ์ยืนอยู่เหนือป้อมกำแพงพร้อมกับเหล่านายพลแห่งฟีเลเซีย เสียงแตรสัญญาณของฟีเลเซียดังรับเป็นทอด ๆ จนกระหึ่มไปทั่วทั้งเมือง
“ช่างเลือกวันรบได้เหมาะกับความชั่วของพวกมันจริง ๆ “ กษัตริย์ซิกมันด์ทรงเหยียดพระโอษฐ์ด้วยความชัง
“นั่นมันตัวอะไรกัน?” เจ้าหญิงเรจิน่าตรัสด้วยความตกพระทัย ทรงยกกล้องส่องทางไกลขึ้นส่องดูกองทัพของซาโลม ซึ่งพระองค์เพิ่งจะเคยเห็นทหารผีดิบของซาโลมเป็นครั้งแรก
“ดูท่าพวกมันจะเพิ่มจำนวนทหารผีขึ้นอีกเป็นเท่าตัวเลย” ชาร์ลมองตาม กล่าวอย่างหนักใจ “พวกซาโลมมีนักเวทย์สายมนต์ดำที่ใช้วิชาสร้างทหารจากซากศพ ดังนั้นยิ่งมีคนตายมาก พวกมันก็ยิ่งมีทหารมากขึ้น”
“น่าขยะแขยงจริง ๆ “ เจ้าหญิงทรงเบ้ปากเมื่อพิจารณาทหารผีอย่างละเอียด
“อย่าว่าแต่พระองค์เลย กระหม่อมเป็นผู้ชายอกสามศอกยังอดคลื่นไส้ไอ้ตัวพวกนี้ไม่ได้” ชาร์ลกล่าวติดตลก แต่เจ้าหญิงทรงขำไม่ออกเลยจริง ๆ
“ข้ายังไม่เห็นพวกกองทัพคนป่าเลย?” กษัตริย์ซิกมันด์ทรงยกกล้องขึ้นส่องดู “ไม่ใช่ว่าพวกมันหนีไปกันหมดแล้วหรือ? หลายวันมานี่พวกมันออกมาทำอะไรกันนอกกำแพงเมืองทุกวัน ข้าไม่เห็นมีสิ่งใดแตกต่างไปจากเดิมเลย”
“พวกเขาก็อยู่ข้างนอกนั่นแหละ” เจ้าหญิงตรัสแม้พระองค์จะไม่เห็นร่องรอยของกองทัพฟูดินันเลย แต่พระองค์ทรงมั่นพระทัยว่าพวกเขาอยู่ เพราะตลอดหลายวันที่ผ่านมา พระองค์ทรงเห็นว่ากองทัพฟูดินันทำงานกันหนักขนาดไหน พวกเขาแทบจะกินอยู่หลับนอนกันนอกกำแพงเมืองตลอดเวลา แม้พระองค์จะไม่รู้ว่าพวกฟูดินันกำลังทำอะไรอยู่ก็ตาม
“กระหม่อมก็มั่นใจว่าพวกเขาอยู่พ่ะย่ะค่ะ สนามรบมันมีบางอย่างที่ไม่เหมือนเดิม แต่กระหม่อมก็ไม่อาจทูลได้ว่ามันคืออะไร?” ชาร์ลทูลตอบพลางกวาดตาไปรอบ ๆ สนามรบ
“ก็ดี ข้าจะคอยดู” กษัตริย์ซิกมันด์ตรัสอย่างไม่ค่อยเชื่อนัก สายพระเนตรก็พลันกวาดมองกองทัพซาโลมที่เคลื่อนใกล้เข้ามา “สั่งพลธนูเตรียมพร้อม ข้าอยากจะให้มันจบเร็วที่สุด”
“พ่ะย่ะค่ะ” ชาร์ลรับคำพร้อมกับให้สัญญาณแก่พลธนู พร้อมกับเหล่าพลธนูซึ่งเข้าประจำที่ทันที
“เดี๋ยวก่อน...นี่มัน!” กษัตริย์ซิกมันด์ตรัสด้วยความโกรธเกรี้ยวเป็นที่สุด เมื่อกองทัพซาโลมปล่อยทหารผีดิบเป็นทัพหน้าและให้พวกทหารมนุษย์อยู่ทัพหลังโดยปักหลักไกลเกินว่าพลธนูจะยิงไปถึง
เพราะความที่ฟีเลเซียรบอย่างเป็นระเบียบแบบแผนทำให้ฝ่ายซาโลมสามารถอ่านกลยุทธของฟีเลเซียได้ไม่ยากนัก นั่นเองจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ฟีเลเซียที่แม้จะจู่โจมได้รวดเร็ว ฉับไวและเปี่ยมไปด้วยประสิทธิภาพ แต่ก็ไม่สามารถชิงเมืองคืนได้สักที เพราะฟีเลเซียถูกเดารูปแบบการโจมตีและวางกำลังดักทางได้ตลอด เวลานี้ดูเหมือนซาโลมจะเป็นฝ่ายได้เปรียบเสียแล้ว ในเมื่อซาโลมไม่ต้องห่วงเรื่องการถูกโจมตีจากพลธนูบนกำแพงเมือง กองทัพก็มีเวลาจัดการกับพวกทัพนก ทัพมังกร และ ทัพเปกาซัสได้ง่ายขึ้น เหล่าฝูงทหารผีดิบที่ไม่กลัวต่อกองทัพลูกดอกที่พุ่งปักลงจนพรุนก็ดาหน้ากันมาอ้ออยู่ที่ประตูเมืองเพราะรู้ดีว่าอีกไม่นาน ฟีเลเซียจะต้องส่งเหล่าอัศวินออกมาจากประตูเมืองแน่นอน พวกมันจึงรอคอยอย่างหื่นกระหายอยากจะฉีกทึ้งกัดกินร่างของมนุษย์จนแทบทนไม่ได้ และเริ่มทุบทำลายบานประตูอันแข็งแกร่งของเมืองคามินยาร์ด
“ฝ่าบาท” ชาร์ลกล่าวอย่างร้อนรน “เราต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว ก่อนที่พวกมันจะทำลายประตูเมืองเข้ามาได้”
“ไปตามพวกนักบวชมา เราต้องกำจัดไอ้ผีพวกนี้ให้ห่างจากประตูก่อน ไม่อย่างนั้นกองทัพอัศวินจะออกจากประตูไม่ได้เลย” กษัตริย์ซิกมันด์ตรัสอย่างเร่งรีบ
นักบวชหลายร้อยรูปถูกพาขึ้นมาบนยอดกำแพงโดยมีเหล่าอัศวินคอยอารักขาอย่างเต็มที่ เพราะก้อนหินก้อนแล้วกันเล่าที่ทหารฟีเลเซียขว้างลงไปใส่พวกทหารผี ก็ถูกพวกทหารผีเหวี่ยงคืนกลับมาจนเหล่าทหารบนกำแพงสับสนอลหม่านอยู่ไม่น้อย ทั้งหินก้อนใหญ่ที่ถูกดีดขึ้นมาจากเครื่องดีดหินของฝ่ายซาโลมก็สร้างความปั่นป่วนให้ฝ่ายฟีเลเซียไม่น้อยเช่นกัน บรรดานักบวชต่างก็พุ่งเป้าไปที่ทหารผีหน้าประตูเมือง แสงสีขาวจากพลังเวทย์ของเหล่านักบวชพุ่งใส่ทหารผีที่ออกันอยู่หน้าประตูจนควันโขมงไปทั่วบริเวณนั้น แต่จำนวนทหารผีที่มีมากเป็นหมื่นนายทำให้ดูเหมือนว่าจำนวนของพวกมันไม่ได้ลดลงเลย