Sub-Turn 07 Celetia Millitary
วันพฤหัส ที่ 19 พฤกษภาคม พ.ศ. 2702
ท้องถนน ทั่วทั้งกรุงเทพ ถูกปกคลุมจนกลายเป็นสีขาวโพลนด้วยหิมะ ซึ่งตกมาตั้งช่วงบ่ายของเมื่อวาน
จนถมท่วมขึ้นมาถึง เอวทั้งที่เป็นเมืองที่อยู่ในภูมิประเทศเขตร้อนชื้น ทว่าหิมะ ก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
เลย แม้เวลาจะล่วงเลยมาจน บ่ายของวันถัดมานี้แล้ว การจราจร ทั่วทั้งเมือง
แทบจะกลายเป็นอัมพาต แม้ทางรัฐบาล จะเริ่มแก้ปัญหา โดยให้สถานีดับเพลิงทุกสถานี ใช้น้ำร้อน ฉีดละลาย
ไปบนพื้นถนนก็ตาม เพื่อชะลอไม่ให้ หิมะถมจนผู้คนออกมาเดินกันไม่ได้
“ หิมะที่ตกลงมาตลอดอย่างต่อเนื่องเมื่อเย็นวานนี้ ก็ยังคงตกมาเรื่อยๆจนไม่มีทีท่าจะหยุดเลยค่ะ… ”
เสียงประกาศ ข่าวดังมาจากทุกที่ของเมือง ทุกข่าวทุกช่องออกเรื่องเดียวกันหมด นับว่ากลายเป็นเรื่องใหญ่เลยทีเดียว
สำหรับหิมะ ที่ตกใน เมืองของประเทศที่ไม่เคยมีหิมะ ดังนั้น การเตรียมการรับมือ กับ ภัยธรรมชาติเช่นนี้ จึงเป็นเรื่องยาก
ผู้คนที่อาศัยอยู่ก็แทบจะไม่เคยมีประสบการณ์ การเอาตัวรอดหรือ วิธีแก้ไข อุบัติเหตุจึงเกิดขึ้นลามปามไปเรื่อยๆ
จำนวนผู้บาดเจ็บ นั้นยังคงมีไม่มาก เพราะ หิมะ ไม่ได้พัดมาเป็นพายุที่รุนแรง แค่โปรยลงมาถมจนพื้นถนน
เย็นและลื่นไปหมด ยางรถที่ใช้ในประเทศ ก็ไม่ใช่ยางที่วิ่งกับพื้นที่ ภูมิอากาศเช่นนี้ จึงเป็นปัญหาต่อการจราจร
อย่างมาก อีกทั้ง แม้จะใช้เส้นทางน้ำในการเดินทาง แม่น้ำทุกสายก็แข็งตัว จนเรือขยับไม่ได้
หนำซ้ำ ในขณะนี้แม้แต่ระบบเวทย์เคลื่อนย้ายมวลสาร ที่ใช้เป็นการคมนาคมหลัก ยังเกิด รวนจนไม่สามารถใช้งานได้
“ จนถึงตอนนี้ ทางสมาคมการขนส่งแห่งประเทศไทย ก็ยังคงไม่สามารถให้คำตอบ ที่ระบบ วาร์ป ของกรุงเทพ ชำรุด ได้อย่างไร ณ ขณะนี้มีรายงานเพิ่มเข้ามาถึงจำนวนยอดผู้บาดเจ็บที่ มีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆค่ะ
เราจะตัดไปทางคุณผู้สื่อข่าว อภิวัณน์ นะคะ ”
รายงานข่าวของผู้รายงานข่าวสาว ในจอโฮโลแกรม ที่ฉายขึ้นมาจาก Note ของมาริน่า
ก็กำลังประโคมข่าวกันอย่างออกรส ออกชาติ ภาพบนจอตัดมาที่ ผู้บรรยายข่าว อีกคนที่กำลังยืนอยู่บนดาดฟ้าของอาคารที่ไหนซักแห่ง ซึ่งมองไปด้านหลังของเธอนั้น จนถึงเส้นตัดขอบฟ้าทุกสิ่งด้านล่างแทบจะขาวโพลนไปหมด
“ ค่ะ..คุณผู้ชมทุกท่านคะ ดิฉัน อภิวัณน์ ศรีทองกุล รายงานจากดาดฟ้าตึกบัญชาการทหารสูงสุด
หรือ ใบหยกเซ็นเทรด นะคะจากมุมนี้ เราจะมองเห็นกรุงเทพกลายเป็นสีขาวโพลนไปหมดเลยค่ะ
แม่น้ำเจ้าพระยาที่ตัดไหลผ่านก็ยังพลอยกลายเป็นธารน้ำแข็งไปด้วย ตอนนี้ดิฉันอยู่กับ
รองผู้ช่วยศาสตรจารย์ ดร.กมลวัน อพิรุณน์ จากสำนักงานวิจัยสืบค้นมนตรา จะมาชี้แจง ถึงปรากฏการณ์นี้
นะคะ ”
นักข่าวสาวภาคสนาม พล่ามจบก็หันไปข้างซ้ายของเธอพร้อมกับที่กล้องก็หันตามไป นักวิจัยสาว
ผู้ที่นัดประธาน ปอร์ไป ที่พิพิธภัณฑ์ เธอได้มายืนอยู่ตรงนี้แล้ว
“ ดร.คะ ทำไมเหตุกาณณ์เหลือเชื่ออย่างหิมะ นี่ถึงตกได้หรือคะ? ” นักข่าวสาวเริ่มเปิดประเด็น
“ จากการหารือ กับประธานบริษัทการค้นคว้าเวทยาการ ปอร์ พีโนมีน่อน(Por Phenomenon)แล้วนะคะ
ผลสรุปจากการวิเคราะห์ พบว่าเหนือน่านฟ้าของ กรุงเทพมหานคร แห่งนี้ถูกปกคลุมด้วยคลื่นพลังเวทย์
ที่เข้มข้นผิดปกติ จากการวิเคราะห์เพิ่มเติมเราพบว่า สนามพลังเวทย์ที่ปกคลุมอยู่นี้เป็น ขั้วพลังธาตุวารีค่ะ
จึงส่งผลกระทบต่อ ชั้นบรรยากาศในเขตกรุงเทพให้เกิด หิมะ หรือ พายุฝนกระหน่ำ ได้ทุกเมื่อค่ะ ”
เธอ อธิบายผลการสำรวจที่ดำเนินการมาตั้งแต่เมื่อคืนวาน
“ เอ๋? แล้วถ้ายังงั้น ประเทศของเราเป็นเขตภูมิอากาศร้อนชื้น คุณสมบัติพลังเวทย์น่า
จะเป็นการส่งให้เกิดพายุฝนนี่คะน่าจะเป็น ไปได้มากที่สุด แล้วทำไมถึงได้กลายเป็นหิมะล่ะคะ ”
นักข่าวสาว ยิงคำถามต่อทันที
“ นั่นล่ะค่ะที่แปลก… ”
เธอ ตอบกลับเสียงเรียบ
“ หิมะตกเนี่ย…ยังจะคิดว่ามันเป็นเรื่องปกติอยู่อีกงั้นเหรอ ”
มาริน่า เปรยอย่างเซ็งๆ ขณะที่มองดูรายงานข่าวบนจอโฮโลแกรม ในห้องพักฟื้นของ ธนัท
ที่ตอนนี้ เพื่อนๆในชมรมพากันมาเยี่ยมไข จนแน่นขนัดห้องไปหมด
“ เน่ๆ ธนัท อีกกี่วาน ถึง จากลับด้าย หรอ ”
แอน ที่นั่งอยู่ข้างๆเตียง เอ่ยถามเสียงเหน่อเช่นเคย ข้างตัวเธอ ไดสุเกะ กับ ชุติการ กำลัง
เล่นกับ คอรัส ที่กลายสภาพเป็นหุ่นยนต์นก เพราะตัวเครื่องพังไปแล้วและได้ โคทาโร่ ช่วยย้ายข้อมูลความจำ
มาลงไว้ที่หุ่นนกตัวนี้ไปก่อนชั่วคราว
“ โปรเฟสเซฮร์ ดราก้อน บอกว่าพรุ่งนี้ก็คงกลับได้แล้วล่ะ ”
ธนัท ตอบขณะที่ ริน ซึ่งนั่งอยู่ข้างเตียง กำลัง ปอก ผลฝรั่ง ใส่จาน เรียงอย่างเงียบๆ
“ ว่าไปแล้ว…รู้สึกพวกเราจะอยู่กันครบเลยนะ แต่เหมือนจะมีใครไม่อยู่คนหนึ่งแฮะ ”
ศรี เอ่ยขึ้น หลังจากที่ นับจำนวนคนจนแน่ใจแล้ว
“ ธนัท อยู่ โคทาโร่ อยู่ เคียว แอน ชุติการ ลูเซีย แล้วก็พวกเรา Master Ceremony อยู่ครบ ภูเขา(Pukao) ก็มาแล้วด้วยใช่ป่ะ ”
ริน ลุกขึ้นมายืนนับ จำนวนคนในห้อง ก่อนจะกวาดสายตาหา ตัวคนอีกคน
“ ก็มาพร้อมเธอ เมื่อคืนนั่นล่ะ ริน ~~~ จำไม่ได้เหรอ ”
เพื่อนนักเรียนชาย ผิวคล้ำผมทรงแหลมตั้งสีดำ ที่นั่งอยู่มุมห้อง พูดขึ้นพร้อมกับยกมือ แสดงตัวให้เธอเห็น
“ เอ….งั้นก็เหลือพวก องครักษ์ของ มาริน่า สินะ เอ ไดสุเกะ อยู่ ฟรานซิสก้า อยู่ …..อ้าว อิส ไม่อยู่นี่ ”
ริน นับไปเรื่อยๆ จนครบถึงได้รู้ว่า คนที่หายไปคือ อิส นั่นเอง
“ นี่…หรือว่า เจ้าอิส ยังติดใจเรื่องที่ปล่อยให้บุคลิคของตัวเองไปอัญเชิญอาแมนคริส
จนเจ้าธนัทต้องมาเจ็บตัวนี่อยู่อีกน่ะ ”
เคียว เปรยขึ้นทำเอา โคทาโร่ ที่อยู่ด้วยสะดุ้งซึมขึ้นมา เพราะตัวเค้าเองก็เป็นต้นเหตุเช่นกันที่ไปชวน
ธนัท ดวลด้วยทั้งๆที่รู้อยู่แล้ว ว่าสภาพร่างกายของ ธนัท ไม่สมบรูณ์พร้อม
“ โอ๊ย! ”
เคียว ร้องสะดุ้งขึ้น แอน หยิกแขนขวาเค้าแรงๆเสียทีหนึ่ง พร้อมกับส่งสายตาตำหนิใส่ ไปฐานปากพล่อย
“ อย่างที่เราทราบกันดีว่า พลังเวทย์ที่ส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมนั้น จะแปลเปลี่ยนกันไปตามคุณสมบัติเขตของแต่ละพื้นที่เพราะแหล่งกำเนิดพลังงานมาจากภายในแหล่งนั้น แต่ว่าคุณสมบัติของ สนามเวทย์ที่ปกคลุมอยู่ตอนนี้
มีความเข้มข้นที่แปลกไปจาก แหล่งพลังงานในรอบบริเวณ ดังนั้นเป็นไปได้ว่า พลังเวทย์ที่ปกคลุมนี้น่า
จะเทียบเท่าได้กับอสูรเทพ ค่ะ ”
เสียงรายงานข่าวจาก จอโฮโลแกรม ยังคงดังอยู่เนืองๆ ผสมปนเปไปกับ เสียงสนทนา ของทุกคนในห้อง
จนเมื่อ คำว่า อสูรเทพ หลุดออกมาจากรายงานข่าว ทุกคนภายในห้องก็ถึงกับเงียบกริบไปพร้อมๆกันในทันที
“ อ….อ…อสูรเทพ….หรือคะ หมายถึงอสูรเทพอย่าง เรราเย่ ที่ถูกทำลายเมื่อ 2 ปีก่อนน่ะหรือคะ? ”
“ ค่ะ อสูรเทพแบนั้นล่ะค่ะ…..แต่ถึงยังไง ทางเราเองก็ยังยืนยันอย่างแน่ชัดไม่ได้เพราะคุณสมบัติของคลื่นพลังนั้น
มีความคล้ายคลึงกันอยู่แล้ว เพียงแต่ผลจากการประเมินในขั้นต้นได้ออกมาว่าแบบนั้นค่ะ ”
เสียงรายงานข่าวยังคงดังออกมาท่ามกลางความเงียบกริบของ ทุกคนในห้อง
“ นั่น คือรายงานจากคุณ อภิวัณน์ นะคะ เอาล่ะค่ะ ต่อไปเป็นข่าวการเมืองนะคะ…. ”
เสียงรายงานข่าว ตัดไปขึ้นหัวข้อใหม่ดังขึ้น ทุกคนต่างก็พากันถอนหายใจอย่างโล่งอก
“ นึกว่าเหตุการณ์นี้จะเกี่ยวกับอสูรเทพซะอีกนะ ฟู่ว!! ถ้าใช่ล่ะก็แย่เลย ”
ธนัท เปรยขณะที่ทุกๆคนต่างก็เห็นด้วย เพราะที่แล้วมาความน่ากลัวของอสูรเทพ ก็ฝากฝังร่องรอยอันน่าเกรงขาม
เอาไว้ในประวัติศาสตร์โลกมาแล้ว รายงานข่าวเมื่อครู่ไม่ว่าเป็นใครถ้าได้ยินก็คงช๊อกไม่แพ้กัน
“ นั่นสิ ยิ่งตอนที่เค้าประกาศเรื่อง เรราเย่ ถูกทำลายเมื่อ 2 ปีก่อนเล่นเอาเสียวสันหลังวาบเลยล่ะ ”
ไดสุเกะ เอ่ยสำทับความคิดเห็นเดียวกับ ธนัท
“ ก็พวกเราอยู่ในเหตุการณ์วันนั้นเลยนี่นา แถมคนที่ทำลาย เรราเย่ ลงไปได้ก็คือ ธนัท …..ด้วย…. ”
ชุติการ ที่ได้ใจก็เผลอ หลุดปากพูดแม้กระทั่งเรื่องที่ตัวเอง ก็ไม่ค่อยจะอภิรมย์ซักเท่าไหร่ออกมา
แต่ดูเหมือนคนที่ดูจะมีผลต่อคำพูดนี้มากที่สุดก็คงจะเป็นตัว ธนัท เสียเอง เพราะเหตุการณืในครั้งนั้น
ทำให้ เค้าต้องกลายมาเป็น DNA-Changer และหนำซ้ำเพราะสภาพร่างกายเป็นแบบนี้ ก็เลยทำให้
เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นมาอีก
ขณะที่บรรยากาศภายในห้องเริ่มจะกลับมาเงียบงันอีกรอบ นั้นเอง เสียงเอะอะตึงตัง
จาก รายงานข่าวที่จอ โฮโลแกรมของ Note ที่มาริน่า ถืออยู่ก็ดังขึ้น
“ จนถึงตอนนี้ กลุ่มผู้ชุมนุมผู้ต่อต้านการทำลายชาติ Resistance Ethnically Destruction หรือ R.E.D. นั้นยังคง
จับกลุ่มชุมนุมกันอยู่ที่หน้าทำเนียบรัฐบาล เหมือนเคย เพื่อเรียกร้องให้
การจัดประชุม Nu Asian ครั้งที่ 30 ที่ไทยจะเป็นเจ้าภาพ ให้มีการพิจารณาเรื่องสิทธิของ DNA-Changer ใหม่ โดยต้อง
การให้จำกัดสิทธิบางส่วนลง แม้ในช่วงตั้งเมื่อวานเย็นนั้นจะมีหิมะตกลงมาตลอดจนถึงเช้า แต่กลุ่มผู้ชุมนุมก็ยังคง
ตั้งปักหลัก อยู่ และได้มีการทำพิธีเทพจตุคาม ช่วยปัดเป่าภัยพิบัติ….. ”
รายงานข่าวและภาพ กลุ่มคนที่กว่าหลายพันที่ชุมนุมกันอยู่หน้าอาคารทำเนียบที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ
ถูกฉายขึ้นบนจอโฮโลแกรม
“ จริงๆเล้ย~~ ฝนจะตกฟ้าจะแตก ขนาดหิมะตก ขนาดนี้ก็ยังจะดึงดันกันอยู่อีก ไม่รู้ว่าทำไมถึง
ได้อยากแบ่งพรรคแบ่งฝ่ายกันนักนะ ”
ชุติการ บ่นขึ้นอย่างเซงๆกับข่าวการบ้านการเมืองที่เป็นซ้ำๆกันอย่างน่าเบื่อเช่นนี้เรื่อยมา ตั้งแต่อดีตแล้ว
แม้โลกจะพัฒนามาจนถึงยุคนี้แล้วก็ตาม ประเด็นการเมืองร้อน แบบนี้ก็ยังคงมีให้เห็นกันอยู่ทุกยุคทุกสมัย
ผลัดเปลี่ยนกันไปเรื่อยๆ
“ เอาล่ะค่ะมาต่อกันที่ ข่าวถัดไปนะคะ South Thai County สถานการณ์บ้านเมืองยังคงมีความวุ่นวาย อยู่เช่นเดิมค่ะ
ล่าสุด กลุ่มผู้ก่อการร้าย ได้ใช้ Titania หุ่นรบอสูร กวาดทำลายโรงเรียนและหมู่บ้านไปกว่า สิบเขตอย่างต่อเนื่อง
จนถึงตอนนี้ กำลังทหารก็ยังคงหยุดยั้งเอาไว้ไม่อยู่ จากการที่ใช้ Titania เป็นอาวุธเข้าจู่โจมนี้เอง ตัวกลุ่มผู้ก่อการร้ายจึงน่าจะเป็น DNA-Changer….. ”
ก่อนที่รายงานข่าวจะได้ทันร่ายจนจบ มาริน่า ก็ชิงปิด จอโฮโลแกรมทิ้งไปทันที
“ วันๆมีแต่ข่าวแบบนี้ DNA-Changer ยังงั้น DNA-Changer อย่างงู้น ไม่คิดเบื่อกันมั่งรึไงนะ
แบบนี้ที่ฉันอุตส่าห์บินไปเจรจายกเลิกสนธิสัญญาจำกัดสิทธิ์ ของ DNA-Changer เมื่อ 2 ปีก่อน
มันเพื่ออะไรล่ะเนี่ย ”
มาริน่า บ่นอย่างหัวเสีย ความขัดแย้งแตกแยกระหว่าง N.O.W.(Native Original World)หรือมนุษย์ธรรมดา
กับ DNA-Changer นั้นยังคงมีเรื่อยมาแม้จะเคยมีการกระชับความสัมพันธ์ครั้งใหญ่
กันมาแล้ว แต่ดูเหมือน 2 ปีที่ผ่านมาหลังการกระชับความสัมพันธ์ ในครั้งนั้นแทบไม่ได้ให้ผลอะไร
แตกต่างไปจากเดิมเลยN.O.W. ก็ยังคงเกลียดพวก DNA-Changer และDNA-Changer ก็ยังคงดูถูกพวก
N.O.W. ว่าล้าหลังและไร้ความสามารถยึดติดกับวัฒนธรรมเดิมๆและไม่ก้าวไปสู่วิวัฒนาการ
“ เอาน่า ถึงจะประเทศนี้จะเป็นประเทศเป็นกลางก็เถอะ แต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะ
ยอมรับมันด้วยเหมือนกันหมดนี่ มาริน่า ก็ต้องมีกันบ้างล่ะน่าเรื่องพวกนี้น่ะ ”
ภูเขา พยายามจะพูดให้เธอ เย็นลงหลังจากที่ปรี้ดแตกกับ ข่าวไม่เป็นเรื่อง ที่รายงานออกมาชีช้ำอยู่เช่นทุกวัน
“ หึ…ภูเขา นายเอง ก็ DNA-Changer ไม่ใช่เรอะแต่ดูเหมือนจะไม่ค่อยกังวลเหมือนคนอื่นในห้องนี้เลยนะ ”
คิระ เอ่ยขึ้นเสียงเฉียบ ทำเอาเค้าสะดุ้งโหยงกันเลยทีเดียว
“ อ่ะ…ก็แหม แค่ไม่อยากให้เครียดกันเท่านั้นเองล่ะน่า ”
ภูเขา แก้ตัวน้ำขุ่นเรื่องที่ตัวเค้านั้นไม่ค่อยจะจริงจัง กับเรื่องพวกนี้ซักเท่าไหร่
“ เพราะมีคนที่มีพลังแล้วไม่ยอมทำอะไรเพราะคิดเป็นเรื่องไกลตัวแบบนายนี่ล่ะมั้ง โลกมันถึงได้มีแต่เรื่องที่เกิดจากคนกลุ่มน้อยกันอยู่ตลอด จะวางใจกันไปได้ก็อีกไม่นานนั่นล่ะ รู้ๆกันอยู่ อดีตที่แล้วมา ก็มีแต่คนคอยจะประคอง
เอาไว้ไม่ให้มันบานปลายเป็นเรื่องใหญ่ แต่ดูตอนนี้แล้วเหมือนแต่ละคนจะพากันปัดความรับผิดชอบไปๆมาๆ อยูนั่นล่ะ
คอยดูเถอะ ซักวันสงครามโลกครั้งที่ 3 คงไม่แคล้วระอุขึ้นมาแน่ ข่าวสองวันก่อน สหราชอาณาจักรเขมร ก็พึ่ง
เข้าร่วมกับ สหพันธ์ Allian จนตอนนี้มีขุมกำลังอาวุธนิวเคลีย เวทมนต์ อย่างฟาลูจา (Faluja) เอาไว้ในครอบครองกันอีก
ตอนนี้มันยังเป็นสงครามเย็นที่เอาอาวุธมาขู่กันได้อยู่หรอก อีกหน่อยก็คงเอามายิงถล่มกันเองจนเละไปสอฝ่ายนั่นล่ะ ”
มาริน่า ได้ทีก็ออกปากบ่นอย่างออกรสชาติ กับประเด็นร้อนระอุ ที่น่าปวดหัวของ โลกในเวลานี้
ที่มีแต่ความขัดแย้งเต็มไปหมด การแข่งขันชิงดีชิงเด่น ชาตินิยม และอื่นๆอีกมากเกินจะพรรณา
เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่เคยผลักดันให้เกิดสงครามโลกขึ้นมาในหน้าประวัติศาสตร์กันแล้วถึง 2 ครั้ง 2 ครา
แม้ว่าในช่วง ร้อยกว่าปีมานี้จะเป็น เพราะ อสูรเทพ ที่เหมือนกับจะคอยคุมไม่ให้เกิดสงคราม ขึ้นมาก็ตามที
แต่ผลของปัญหาเหล่านี้ก็ไม่ได้มลายหายไปหากแต่สะสมเรื่อยมาเพื่อที่จะรอวันแตกหัก
ซึ่งก็จะกลายเป็นสงครามโลกอย่างเธอ บ่นไปได้ซักวันอันใกล้นี้อย่างแน่นอน
“ เอ้าๆ จะบ่นไปถึงไหนกันล่ะนั่น เดี๋ยวก็ได้ถกกันไม่จบประเด็นวันนี้หรอกน่า ”
ศรี กล่าวขัดเพื่อตัดพ้อ เสียงบ่นของ มาริน่า ที่ดูเหมือนจะเลยเถิดกันไปใหญ่
ซึ่งก็ทำเอาทุกคนอดขำไปตามกันไม่ได้ สภาพห้องพักนั้นครึกครื้น ซะจนตัว ธนัท ตอนนี้แทบจะไม่รู้สึกเลยว่า
เค้ากำลังป่วยต้องพักรักษาตัวในโรงพยาบาล
ก๊อกๆๆ
เสียงเคาะประตูดังขึ้นก่อนที่ประตูจะเปิดออกขัดจังหวะการสนทนาที่กำลังเป็นไปอย่างสนุกสนาน
ทุกคนพากันเงียบขึ้นพร้อมกันทันที เพราะนึกว่า พวกตนส่งเสียงกันเอะอะเกินไปจน พยาบาลจะเข้ามาต่อว่า
ทว่า ผู้ที่เปิดประตูเข้ามากลับเป็นชายวัยฉกรรจ์ หน้าเข้มคนหนึ่งแทน เค้ามองมาที่ ชุติการ ที่นั่งอยู่
ข้างๆ ธนัท ซึ่งเธอก็ดูเหมือนจะฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้เหมือนกัน ตั้งแต่เมื่อชายคนนี้สบตามาที่เธอ
“ จ…จริงสิ ลืมไปซะสนิทเลย วันนี้แล้วนี่นา!! ท….ทุกคนฉันต้องไปทำธุระด่วนก่อนนะ ขอตัวล่ะ!! ”
เธอ ลนอยู่ซักพักก่อนจะตามชายคนนั้นออกจากห้องไป
“ ตะกี้….ใครกันน่ะ…? ”
ธนัท เปรยถามขึ้นด้วยความสงสัย ทว่าไม่มีใครในห้องตอบคำถามของเค้าได้เลย
ไม่มีใครเคยรู้จักชายคนนั้น ที่จริงแค่เรื่องที่ว่าครอบครัวของ ชุติการ เป็นใครมาจากไหน
พวกเค้าก็แทบจะไม่เคยได้สนใจกันเลยด้วยซ้ำ
แม้แต่ตัว ชุติการ เองก็ไม่เคยที่จะปริปากเรื่อง ครอบครัวของตัวเอง หรือเรื่อง อื่นๆของเธอเลย
ตัวเธอที่ทุกคนรู้จักก็แค่ตัวเธอที่เป็นเพื่อนนักเรียนนิสัย ร่าเริงเอาจริงเอาจัง คนหนึ่ง กับ Angel
ผู้มีอสูรเทพสถิตย์ร่างเท่านั้นเอง
ก๊อกๆ!!
ยังไม่ทันไรก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เมื่อบานประตูเปิดออก ผู้มาเยือนนั้นคือ หญิงสาวที่เป็น
นักเรียนเนื่องจากเธอสวมเครื่องแบบนักเรียนโรงเรียนอื่นอยู่ ผมสีแดงชมพูยาวของเธอรวบเป็นหางม้า
ไปไว้ด้านหลัง ดวงตาของสั่นระเรื่อ นิดๆเหมือนกับจะร้องไห้
ธนัท และ เพื่อนๆได้แต่นิ่งเงียบกับการมาของเธอ พวกเค้าไม่มีใครรู้จักเธอมาก่อนเลย
“ ฟ…..เฟรย์…. ”
เคียว เปรยขึ้นมาท่ามกลางความเงียบงันนี้ ไม่ทันไร เธอ ก็โผเข้าไป กอดซบเค้าทันที โดยไม่ให้ตั้งตัว
“ เคียว บ้า…บ้าๆๆๆ บ้าที่สุดเลย..พักหลังมานี่ไม่ยอมมาหาฉันเลย….อุตส่าห์โทรหาก็แล้ว
แต่ก็ปิด Note ไว้อีก ฮือๆ…เคียวบ้า…บ้าที่สุดเลย…ไม่รักเค้าแล้วใช่ไหม๊!! ”
เธอ ปล่อยโฮ ออกมาชุดใหญ่พลางทุบอก เคียวไปด้วยซึ่งก็ทำเอา จุกเล็กน้อย
“ อ….เอ่อ…โทษนะ เคียว…นี่น่ะคือ…เอ่อ เธอคนนี้น่ะ…. ”
ธนัท เอ่ยถามตะกุกตะกัก กับสภาพความวุ่นวายที่เกิดขึ้นฉับพลันนี้ ทำเอาเค้าตั้งหลักไปไม่ทันเหมือนกัน
กับคนอื่นๆในห้อง
“ อ๋อ นี่ เฟรย์(Fray) เธอเป็นลูกสาวของเพื่อนพ่อฉันน่ะ ”
เคียว อธิบายโดยพยายามปลอบเธอให้หยุดร้องไปพลาง
“ โทษนะ เฟรย์ ช่วงนี้ฉันยุ่งๆน่ะ เมื่อเร็วๆนี้ เพื่อนฉันเองก็เข้าโรงพยาบาลถึงได้
มาเยี่ยมเค้าที่นี่ไง..ว่าแต่ เธอรู้ได้ไงว่าฉันอยู่ที่นี่น่ะ ”
เคียว พยายามจะอธิบายสาเหตุที่เค้าไม่ได้ไปพบเธอในช่วงนี้ ก่อนจะเอะใจเรื่องที่เธอรู้ว่าเค้ามาเยี่ยม ธนัท ที่นี่
“ ฉันก็ถามเอาจาก คุณพ่อของเคียวน่ะสิ ทิ้งฉันไปแบบนี้น่ะ เคียวเห็นเพื่อนดีกว่าฉันใช่ไหมล่ะ!! ”
เธอ ประชดก่อนจะวิ่งเตลิดออกจากห้องไป
“ ฮ…เฮ้ !! เดี๋ยวสิ เฟรย์ มันไม่ใช่แบบนั้นนะ!! ”
เคียว ตะโกนไล่หลังก่อนจะตามออกไปด้วยอีกคน ทิ้งไว้เพียงความงุนงงของ เพื่อนๆที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด
“ เธอคนเมื่อกี้…เหมือนจะเคยเห็นที่ไหนมาก่อนหนา ”
แอน เปรยพลางทำท่านึก
“ เฟรย์ ไอน์สไตล์(Fray Aistain) ลูกสาวของรัฐมนตรีการต่างประเทศ โรบิน ไอน์สไตล์(Robin Aistain) ”
คำตอบนี้ออกจากปากของ ฟรานซิสก้า ขึ้นมาทำเอา ธนัท แอน และ ชุติการ รวมไปถึง โคทาโร่ นั้นพา
ถลึงตาด้วยความตกใจ กับฐานะของ นักเรียนสาวที่เหยียบย่างเข้ามาในห้องเมื่อครู่
“ ไม่เห็นจะแปลก ก็เจ้านั่นน่ะ เป็นทายาทตระกูล สายตรงจิต ที่เป็นเชื้อหม่อมเจ้าหม่อมวงศ์
การที่ทางครอบครัวจะหมั้นหมายกับคู่ที่มีฐานะ เหมาะสมกันก็ไม่เห็นจะเป็นเรื่องแปลกเลยนี่ ”
มาริน่า เปรยอย่างเซงๆ กับอาการตื่นของพวก ธนัท
“ แหม…แต่ก็หนา คบกันมาเป็นปีๆ จะว่าไปรอบตัวเราก็มีแต่คนใหญ่คนโตกันทั้งนั้นเลยหนาเนี่ย ”
แอน อดที่จะอุปทานออกมาไม่ไหว ขณะที่คนอื่นๆพากัน ถกถึงประเด็นอะไรไปเรื่อยๆนั้นมีเพียง ธนัท
ที่เบือนสายตากลับไปมองที่ประตูห้องซึ่งยังเปิดคาทิ้งไว้
{เธอคนนั้น….}
ธนัท คิดก่อนที่สีหน้าผิดหวังจะปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเค้าเล็กน้อย เพียงแวบแรกที่พบเห็น
เธอคนนั้น เค้าก็เกิดความรู้สึกที่ไม่อาจบรรยายออกมาได้ ความรู้สึกที่กำลังก่อตัวขึ้นในใจนี้คืออะไรกันแน่?
…………………
……………………..
…………………………………
ธรรมเนียบรัฐบาล
พั่บๆๆๆๆ ครืนนนนนน
เสียงใบพัดหมุนควงด้วยความเร็วสูง บนเฮลิคอปเตอร์ ที่กางสนามพลังงานเอาเหนือใบพัดเพื่อป้องกันหิมะ
ที่ตกลงมาเกาะถูกตัวใบพัด แรงลมที่เกิดจากการหมุน พัดหอบเอาไอเย็น ฟุ้งไปทั่วสนามหญ้าหน้า อาคาร ธรรมเนียบสีขาว
ตรงหน้า ขณะที่มันกำลังลงจอดทันทีที่ขาตังของ ฮ. ถึงพื้นใบพัดก็ลดความเร็วลง พร้อมกับ
เจ้าหน้าที่อีกนับสิบนายที่รออยู่ก่อนแล้ว จะตรงรี่เข้ามาทำหน้าที่อารักษ์ขาผู้มาเยือน ยามที่ประตูเครื่องเปิดออก
ชุติการ และชายฉกรรจ์ที่มารับเธอที่ โรงพยาบาลก็ลงมาพร้อมกัน ในทันทีแม้ตัวเธอจะอยู่ในชุดนักเรียนที่ไม่ได้
เปลี่ยนมาตั้งแต่เมื่อวาน ก็ตามแต่ก็หาได้มีใครปริปากถามเธอไม่
เจ้าหน้าที่นายหนึ่ง เสนอตัวออกนำเธอ เข้าไปยังอาคารธรรมเนียบ นำทั้งสองไปยังห้อง
รับรองที่จัดเตรียมไว้ โดยที่มีผู้รอพบเธอกับเค้านั่งอยู่ก่อนแล้ว เธอหันไปให้สัญญาณกับ ชายที่มากับเธอด้วย
ก่อนที่เค้าจะออกไปรอหน้าห้องกับเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ ในที่สุดห้องก็เหลือเพียง เธอกับ ชายนักการเมืองวัยกลางคน
เพียงลำพัง
“ ต้องขออภัยด้วยนะครับ เจ้าหญิง เพราะเป็นการมาเข้าพบอย่างไม่เป็นทางการ
ทางเราเลยจัดเตรียมการต้อนรับเอาไว้ไม่ทัน ”
เค้า กล่าวกับเธอเสียงเรียบนิ่ง ดูเหมือนเค้าจะไม่หวั่นไหวซักเท่าไหร่กับการมาของเธอ
“ ดิฉันเองก็ต้องขออภัยท่าน รัฐมนตรีธนพัฒน์ เป็นอย่างยิ่ง ที่จู่ๆก็ขอมาเข้าพบปุบปับแบบนี้ แต่ไม่ว่ายังไง ก็อยากจะให้
ช่วยอธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้หน่อยนะคะ ”
ชุติการ กล่าวตอบพร้อมกับ ยกเอา Note ของเธอขึ้นมาเปิดภาพโฮโลแกรมขึ้น บนจอภาพโฮโลแกรม
ที่ฉายขึ้นมานั้น เป็นข้อมูลเกี่ยวกับหุ่นรบอสูรเทียม Titania 5 เครื่องด้วยกัน
“ ช่วยตอบมาหน่อยสิคะ ว่า หุ่นอสูรเทียมพวกนี้มันอะไรกัน ”
เธอ คะยั้นคะยอเอาคำตอบจากเค้าอีกครั้ง ทว่าอีกฝ่ายกลับมีสีหน้าเรียบเฉย ไม่สะดุ้งสะเทือน
อะไรแม้แต่น้อย
“ ก็ไม่เห็นจะมีอะไรเลยนี่ครับ พวกนั้นก็แค่ของที่อยู่ในขั้นทดลองพัฒนาขึ้นมา ก็เท่านั้นเอง… ”
เค้าตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยราวกับว่าสิ่งที่เธอเอามาแสดงให้เค้าดูนั้นเป็น อะไรที่ธรรมดาเอามากๆ
“ ไม่มีอะไรงั้นรึคะ!!..นี่น่ะเป็นของที่พัฒนาขึ้นมาโดยใช้วิทยาการของทางเราด้วยไม่ใช่หรือคะ
คุณก็รู้อยู่แก่ใจ ว่า ประเทศของทางเราน่ะ…. ”
ชุติการ กระแทกตัวลุกขึ้นตะคอกสวนกลับไปเสียงลั่นห้อง อย่างเดือดดาล ทว่าอีกฝ่ายกลับยังคงรักษาท่าทีเอาไว้ได้ราวกับ
ความโกรธที่ปรากฏบนใบหน้าของเธอนั้น เป็นเรื่องโกหก
“ ทางเรากับประเทศของ เจ้าหญิง เป็นพันธมิตรกัน เรื่องพวกนี้เราก็รู้ๆกันอยู่ ทางประเทศของเจ้าหญิงเองไม่ใช่หรอกรึ
ที่ผลักดันโครงการนี้ขึ้นมาน่ะ อีกอย่างในภาวะที่สภาพความมั่นคงระหว่างประเทศกับสหพันธ์Allian หรือ พวก Magnus
ยังไม่แน่นอนแบบนี้เราก็ควรที่จะสรรหาพลังมาไว้เพื่อป้องกันตัวก่อน ก็ไม่เห็นมันจะผิดตรงไหนเลยนี่ครับ ”
เค้าตอบกลับเสียงเรียบ ดูเหมือนเค้าจะยังคงรักษาท่าทีสงบใจเอาไว้ได้อย่างไม่สะดุด ทำให้เป็นต่อเธอที่
ฟิวส์ขาดตั้งแต่เริ่มเจรจาไม่น้อย
“ แต่ว่า…พลังที่มากเกินไปน่ะ จะทำให้เกิดสงครามขึ้นมาอีกนะคะ! ”
เธอ แย้งถึงตรงนี้แล้ว อีกฝ่ายก็ยังคงทำทีนิ่งนอนใจต่อคำพูดของเธอ
“ ผิดแล้ว เจ้าหญิง เพราะยังมีสงครามอยู่ต่างหากถึงจำเป็นต้องมีพลัง ประเทศของ
เจ้าหญิงเองก็เหมือนกันนี่ เพื่อที่จะรักษาอุดมการณ์ พลังก็มีไว้เพื่อการนั้น จริงไหมครับ ”
เค้าแย้งเธอกลับ ทำเอาเธอเถียงไม่ออกเสียทีเดียว
“ จริงสิ…ถ้าไม่รังเกียจไหนๆแล้ว จะลองไปชมให้เห็นกับตาเองเลยไหมล่ะครับ…..หุ่นพวกนั้นน่ะ ”
ท่ามกลางความเงียบสงัดเค้าได้ยื่นข้อเสนอที่ไม่อาจปฏิเสธได้ขึ้นมา
………………………..
……………………………………
……………………………………………..
อากาศเริ่มเย็นจัดลงไปอีก เมื่อตะวันเริ่มคล้อยดิน ขอบเขตการตกของหิมะ นั้นค่อยๆแผ่กระจาย ออกไปอย่างรวดเร็ว
ในเวลาเพียงครึ่งวัน ขอบเขตของสนามพลังเวทย์ที่ทำให้สภาพอาอกาศเป็นเช่นนี้ได้ขยายตัวปกคลุม ไปทั้งประเทศไทยแล้ว
อีกทั้งยังขยายตัวไปเรื่อยๆไม่มีทีท่าว่าจะหยุด จนกินอาณาเขต ประเทศเพื่อนบ้าน ไปอีกทั้ง มาเลเซีย เขมร ลาว กัมพูชา
ในเวลานี้เอง ทั่วโลกเริ่มที่จะตระหนักกับสถานการณ์นี้เสียแล้ว เพราะจากเดิมที่สนามพลังนี้กินอาณาเขตแค่เมืองแห่งเดียว
กลับขยายตัว จนลามไปถึงประเทศอื่นๆ
……………
“ ว่าไงนะ ไปเจอ ปอบ มา…ในเมืองเนี่ยนะ! ”
ชายคนหนึ่งตะคอกถาม ใส่ชายอีกคนที่หน้าซีด ราวกับเห็นผีมา พวกเค้าทั้งสองยืนอยู่บนตรอก
ข้างถนนที่ลับตาผู้คน โดยมีเพียงแสงไฟสลัวๆจาก ไฟข้างทาง ส่องเข้ามา บนถนนแถวนั้นแทบจะไม่มีใครสัญจรผ่านไปมาแล้ว เพราะ เป็นเวลาโพล้เพล้ที่อากาศในตอนนี้ เรียกได้ว่าเย็นสะท้านกันเลยทีเดียว
“ ช....ใช่…ใช่…ที่ถนนข้างๆเนี่ย….ฉันเห็นพวกมันเป็นฝูงเลย….เฮ้อๆ.. ”
ชายผู้หน้าซีดเซียว ตอบเสียงสั่น เหตุการณ์ที่เค้าเผชิญมานั้น น่ากลัวเกินจะบรรยายออกมาได้นัก
“ เห่ย~~บ้าเปล่าวะ สมัยนี้แล้วมันจะมีปอบได้ไงกัน แกตาฝาดมากกว่าม้าง~ ”
เมื่อได้ฟังคำตอบของชายคนนั้นแล้ว แต่ชายผู้ฟังก็ไม่ค่อยอยากจะเชื่อซักเท่าไหร่ และคิดว่าชายคนนี้
คงจะตาฝาดหรือไม่ก็เสียสติไปแล้วแน่ แต่พลันความคิดนั้นเป็นอักต้องมลายไป เมื่อหลังชายผู้หน้าซีดเซียวนั้น
มีกลุ่มคน อีกหลายสิบ ไม่สิไม่น่าจะเรียกได้มนุษย์ด้วยซ้ำ ไม่ใช่ทั้ง N.O.W.(Native of World = มนุษย์ธรรมดาๆ)
และ DNA-Changer ลักษณะท่าทางการเดินของพวกมัน เดินกะโผลก กะเผลก แขนทั้งสองข้างตั้งตรงขึ้นมา มือทั้งสอง
ทำท่าหยิบจับ ไม่หยุดเหมือนคนเป็นสันนิบาท ดวงตาลอยเบิกโพล่ง จนดูน่ากลัว
ถ้าเปรียบกันแล้ว แทบจะเป็นซอมบี้ ดีๆนี่เอง เว้นแต่เพียงท่าหยิบจับ อันเป็นเอกลักษณ์
ไม่ต้องรีรออันใด สองชายรีบโกยหน้าตั้งออกจากตรอกนั้นทันที ตอนนี้สถานการณ์เริ่มจะ วิกฤตลงไปอีกขั้น
แล้ว
…………………….
………………………………….
ห้องพักผู้ป่วย ธนัททาธิเวศ จงกลาง
“ จนถึงตอนนี้ สนามพลังเวทย์ ที่ก่อให้เกิดปรากฏการณ์หิมะตกนี้ ก็ยังไม่ได้ข้อสรุปที่ชัดเจนแน่นอนอย่างแท้จริง
ค่ะ ทางองค์การนาซ่า ของอเมริกา ตอนนี้เปิดให้คำแถลงการณ์ ออกมาเมื่อเย็นนี้ว่า ดาวเทียม Apollo X-135 ที่เป็นรุ่นใหม่ล่าสุดนั้น ไม่สามารถตรวจสอบเกี่ยวกับสนามพลังนี้ได้ ”
เสียงรายงานข่าว ดังจากจอโฮโลแกรม ของ มาริน่า ที่เปิดดูอยู่ในห้องของ ธนัท ตอนนี้นอกจากเธอ กับ ธนัท
แล้วก็ไม่มีใครอยู่ในห้องอีกเลย เพราะทุกคนแยกกันไปทำธุระ ของตัวเองกันหมด
“ เคียว ยังไม่กลับมาอีกเหรอเนี่ย…จะเป็นอะไรรึเปล่านะ… ”
ธนัท เปรยอย่างเป็นห่วง ขณะที่มองตัวเลขบอกเวลาจากจอนาฬิกาโฮโลแกรม ที่ฉายอยู่บนผนังห้อง
พัก มันเป็นเวลา ทุ่มกว่าๆแล้ว
“ เรื่องมันชักจะยังไงแล้วสิ…ปรากฏการณพวกนี้ต้องมีเบื้องหลังที่ไม่ชอบมาพากลแน่ ”
แทบจะทำเอาเค้าสะดุ้งไปเลยทีเดียวเมื่อจู่ๆ มาริน่า ก็เปรยออกมาหลังจากนั่งดูทีวี อยู่นาน
“ อ…เอ่อ หมายถึงเรื่องของ เคียว เหรอ ”
ธนัท ถามอย่างเงงๆ
“ บ้าสิ ใครพูดถึงเรื่องนั้นกันยะ หมายถึงไอ้ หิมะ บ้าๆนี่ต่างหาก ถ้าจะบอกว่าเป็นเพราะสนามพลังเวทย์
ที่สะสมตามธรรมชาติเกิดรวน มันก็จะแปลกไปหน่อยล่ะ เพราะถ้าเป็นปกติทั่วไปแล้ว ไม่ว่ายังไงก็ไม่น่า
จะขยายไปได้ขนาดนี้ แบบนี้มันเหมือนกับว่ามีใครกำลังควบคุมมันอยู่มากกว่า ”
มาริน่า พูดพร้อมกับปิดจอโฮโลแกรมที่ฉายจาก Note รูปแบบตุ๊กตาผ้าของเธอ
“ แต่พลังที่จะควบคุมสนามพลังขนาดนั้นน่ะมัน…. ”
ธนัท เอ่ยด้วยความสงสัยพ่วงไปความลังเลที่ไม่แน่ใจว่า สิ่งที่เธอพูดกับสิ่งที่เค้าคิดตอนนี้ มันตรงกันหรือไม่
เพราะในเชิงความหมายแล้วสิ่งที่เธอพูดมานั้น สื่อถึงว่า มีใครบางคนควบคุมพลังของ อสูรเทพ
ที่มีอำนาจพอจะสร้างปรากฏการณ์แบบนี้อยู่ และที่เธอเลือกจะพูดขึ้นมาตอนนี้ ก็เพราะไม่อยากจะให้คน
อื่นรีบแตกตื่นกันมากไปนัก จึงเลือกที่จะรอจนกว่าจะเหลือแค่ตัวเค้าและเธอเท่านั้น
“ ใช่ อย่างที่นายคิดนั่นล่ะ เจ้าหนู ตอนนี้มีใครบางคน กำลังควบคุมพลังของ เลเวียทาน อสูรแห่งสมุทรา
อยู่หิมะนี่เป็นฝีมือของมันอย่างไม่ต้องสงสัยเลย ”
คำตอบของเธอแทบจะทำเอาหัวใจเค้าหยุดเต้นกันเลยทีเดียว สันนิษฐานของเค้าถูกเผง
แต่ก็ยังคงมีคำถามที่คลางแคลงใจเค้าอยู่
“ ประธานรู้แต่แรกแล้วใช่ไหม….ตั้งแต่ที่บ่นขึ้นมาเมื่อเช้านี้น่ะ ”
เค้า ถามซึ่งเธอก็พยักหน้ารับว่าใช่
“ แล้วทำไมถึงต้องเป็นผมด้วยล่ะที่จริงเรื่องนี้ก็น่าจะบอกให้ทุกคนรู้ไม่ใช่เหรอหรือเพราะกลัวว่าทุกคนจะแตกตื่นกัน ถ้ายังงั้นก็น่าจะไปบอก พี่ศรีหรือไม่ก็พี่ริน ไม่สิ ปรึกษากับพวก Master Ceremony ทุกคนไปเลยแล้วทำไม… ”
“ แล้วนายคิดว่าฉันจะทำแบบนั้นไปทำไมกันล่ะ….. ”
ธนัท แย้งถามไปยังไม่ทันจบ ก็ถูกเธอ สวนกลับขึ้นมาเสียงเรียบ เค้าจึงหยุดเพื่อที่จะรอฟังคำตอบจากเธอ
“ นายคิดเหรอ ว่าฉันจะเก็บเอาเรื่องแบบนี้มาบอกกับคนเจ็บอย่างนายน่ะ ทุกคนเค้ารู้เรื่องนี้ตั้งแต่เมื่อคืนที่นายยัง
สลบไม่ได้สตินั่นแล้ว คนที่ไม่รู้ก็มีแต่นายนั่นแหล่ะ….ที่ฉันต้องบอกนายเอาไว้ก่อนเพราะหลังจากนี้ฉัน
จะออกไปสมทบกับ คนอื่นๆ ก็เลยอยากจะขอเตือนเอาไว้ก่อนว่า แกน่ะอย่าทำอะไรเกินตัวเป็นอันขาดล่ะ
นอนฟื้นตัวอยู่ที่นี่ไปเงียบๆซะ เข้าใจนะ ”
เธอ ตอบคำถามของเค้าจนหมดแล้ว จึงเดินออกไปโดยไม่เปิดโอกาสให้เค้าถามอันใดอีก
“ นี่ฉัน…. ”
เค้าเปรยเสียงแผ่วออกมาเพียงแค่นั้น ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า ตอนนี้ตัวเค้าคิดไปเองว่า ตัวเองเป็นคนสำคัญ
ทั้งที่จริงๆแล้วตอนนี้ตัวเค้าไม่มีอำนาจอะไรเลยอีกต่อไป หลังจากสูญเสีย อาแมนคริส ไปแล้ว
………………..
……………………………
……………………………………….
ท่าเรือขนส่ง ศรีราชา จ. ชลบุรี
รัฐมนตรี ธนพัฒน์ เดินนำ ชุติการ เข้ามายังโรงพัฒนาส่วนกลางของ ท่าเรือ ภายในโรงเก็บนั้น มืดสลัว
ต้องอาศัยแสงไฟจาก หลอดไฟบนเพดาน ให้ความสว่าง ความกว้างใหญ่โอโถงนั้น ของโรงเก็บนี้ มากพอ
ที่จะเก็บเรือรบลำเบ้ง ซัก สิบลำไว้ได้เลยทีเดียว ที่ส่วนกลางของ โรงเก็บ
หุ่นอสูรเทียม หรือ Titania จำนวน 5 ซึ่งกำลังปรับปรุงโดยคนงาน นั้นยืนเรียงแถวยาวไปตลอดแนว
อยู่ต่อหน้าเธอ กับ บอร์ดี้การ์ดชายฉกรรจ์ที่มากับเธอ
“ เรียงจากขวามาซ้ายก็เป็น MAT Series X-101 Sagkelos , X-102 Anemokelos , X-103 Lexkelos
, X-104 Gaurdian of the Lost Ruin และสุดท้าย X-105 Thaliwilya ทั้ง 5 ตัวนี้ 3 ตัวแรก
ใช้แปลนในการพัฒนาแบบเดียวกัน ส่วน X-104กับ X-105
นั้นเป็นรุ่นที่พัฒนาขึ้นมาล่าสุดเชียวนะครับ ถ้าหากเสร็จตามกำหนดการแล้ว
พวกมันก็จะเข้าไปประจำกองกำลังอิสระที่ 7 ร่วมกับยานรบที่กำลังพัฒนาอย่าง LSN-S1A5 Cybertica Dragon ”
ธนพัฒน์ อธิบายสรรพคุณของเครื่องจักรสังหารอย่างสนุกปาก ขณะที่ ชุติการได้แต่จดจ้องกับ หุ่นทั้ง 5 ตัวตรงหน้า
เธอไม่คิดฝันเลยว่า ประเทศที่ยึดมั่นในอุดมการณ์ที่จะไม่ก่อสงครามเช่นนี้จะพัฒนาของน่ากลัวพรรค์นี้ขึ้นมา
“ ว่ายังไงนะคะ นี่คุณคิดจะใช้พวกมันในสงครามจริงๆงั้นรึคะ หุ่นพวกนี้น่ะ ”
เธอแย้งถามด้วยความตกใจ หลังจากได้ยินว่า หุ่นพวกนี้จะถูกส่งไปประจำการ ซึ่งนั่นเท่ากับว่า นี่เป็นการเตรียมกำลังรบ
สำหรับเตรียมรับศึกที่อาจเกิดขึ้นหรือไม่ก็ศึกที่เกิดจากการไปรุกรานคนอื่น
“ ไม่เห็นจะเป็นไรเลยนี่ครับ ยังไงซะวัตถุประสงค์ที่เราสร้างของพวกนี้ขึ้นมาก็เพื่อใช้พวกมันในสงครามอยู่แล้ว
ไม่สิเพื่อที่จะใช้พวกมันนี่แหละทำให้สงครามจบลง ”
เค้ากล่าว เสียงเรียบทำราวกับเธอเป็นแค่เด็กที่ถูกปลูกฝังให้พูดป่าวๆแล้วทำอะไรไม่ได้เพียงเท่านั้น
“ โอ…อย่าทำหน้าแบบนั้นสิครับ ผมคงเสียมารยาทมากไปหน่อย จริงสิครับงั้นเรามาเปลี่ยนบรรยากาศกันหน่อย
ไหมครับเจ้าหญิง ได้ยินมาว่า เจ้าหญิง ชื่นชอบการเล่น Duel Summoner มากเลยนี่ครับ ถ้ายังไงเราลองมาเล่นกัน
ซักเกมส์ไหมล่ะครับ ”
ธนพัฒน์ เอ่ยชักชวนเธอ ขึ้นมา ท่าทีที่เปลี่ยนไป อย่างรวดเร็วแบบนี้ ทำให้เธอรู้สึกระแวงในตัวเค้าขึ้นมา
“ ไม่ทราบว่า ที่ชวนดิฉันแบบนี้ มีจุดประสงค์อะไรงั้นรึคะ ”
เธอถาม อย่างไม่สบอารมณ์
“ อย่าพึ่งโกรธสิครับ เจ้าหญิง ผมแค่จะชวนท่านเปลี่ยนบรรยากาศก็เท่านั้นเอง อืมหรือว่า ถ้าเล่นกันเฉยๆมันจะไม่สนุก จริงสินะ งั้นเอางี้ไหมล่ะครับ ถ้าเจ้าหญิง ชนะผมในเกมส์นี้ได้ หุ่นทั้ง 5 ตัวนี้ผมจะยกเลิกการเข้าประจำการของพวกมัน
ดีไหมล่ะครับ ”
เค้ายื่นข้อเสนอขึ้นมา
“ เลิกเรียกฉันว่าเจ้าหญิงเถอะค่ะ แล้วก็ฉันจะไม่ถามหรอกนะคะ ว่าถ้าคุณชนะจะอยากได้อะไรบ้าง เพราะ
ผลมันคงไม่ต่างไปจากที่ฉันคิดนักหรอกค่ะ ”
เธอตอบ รับคำเชิญอย่างมั่นใจ ว่าเธอจะไม่มีทางแพ้อย่างแน่นอน
“ โอ้งั้น เรามาเริ่มกันเลยดีไหมครับ ด้วยกฏ Ruler Expert Mode ” /Get Set/
เค้ากล่าวพร้อมกับ หยิบ Note ของตนขึ้นมา แสตนบายด์ ให้มันกลายเป็นปลอกแขนสำหรับดวล
ซึ่งมีสำรับติดตั้งเตรียมรอไว้ก่อนแล้ว
“ ดิฉัน พร้อมทุกเมื่ออยู่แล้วล่ะค่ะ ” /Get Set/
ชุติการ รับคำพร้อมกับ แสตนบายด์ Note ของเธอตามเช่นกัน
[ชุติการ Status; Hand:Seal 5 ,Mystic2 Mp:7/7 Shrine 0/6 ]
[รมต. ธนพัฒน์ Status; Hand:Seal 5 ,Mystic2 Mp:7/7 Shrine 0/6 ]
[Data:รมต. ธนพัฒน์ Age:22 year Cost LV:Caller Deck: Crisis Civilian ]
“ รอบของฉันก่อน Cost mp 3 ร่าย อมาร่า แองเจิลออฟคัพ (Amara, The Angel of Cups) ไปที่ At line ”
ชุติการ ประกาศพร้อมกับร่าย ซีลการ์ดบนมือลงไป ทันทีที่ ตัวการ์ดซึมซับละอองพลังเวทย์ที่สร้างออกมาจาก
Note แล้ว ผนึกการ์ด สลายตัวและปรากฏร่างของ ทูตสวรรค์กับถ้วยเงินและทองอย่างละใบขึ้นที่สนาม
“ จากนั้น Cost mp 2 อัญเชิญ อารักขเทวดาแห่งอลาน่า โฮลี่ (Holy, the Guardian Angel of Alana)
ลงไปที่ Df line 2 ใบ เป็นหมดรอบของฉัน ”
เธอ ประกาศพร้อมกับร่าย ซีล ลงไปเพิ่มอีก คราวนี้เป็น อารักขเทวดาตัวน้อย สององค์
“ รอบของผมล่ะนะ แต่ก่อนอื่นผมมีเรื่องอยากจะพูดซักหน่อยนะครับ ท่านผู้แทน ”
ธนพัฒน์ ประกาศเริ่มรอบของตน ก่อนจะเปิดประเด็นขึ้นโดยคราวนี้เค้าเรียกเธอด้วยฐานะ แทนที่จะเรียกว่า เจ้าหญิง
ตามที่เธอขอ
“ โลกนี้น่ะนะ ถ้าอะไรที่ดีกว่าก็ต้อง ดีไปหมดไม่ว่าใครก็อยากจะใช้อยากจะเห็นแต่ของที่สมบูรณ์พร้อมทั้งนั้น
แต่เพราะแบบนั้นแหล่ะ คนที่มีข้อบกพร่อง จึงหมดโอกาส ที่จะเปล่งประกาย ถ้าเปรียบไปแล้ว
ไม่ว่าใครก็ชอบแรร์การ์ดด้วยกันทั้งนั้น อย่างตอนนี้สนามของเท่านผู้แทนก็มีแต่ อสูรคลาสระดับที่เรียกได้ว่าหายากยิ่ง
สมเป็นสำรับคู่ฐานะ แต่ตัวผมน่ะนะเดิมทีก็เป็นแค่ สามัญชนที่มีฐานะทางเศรษฐกิจนิดหน่อย เท่านั้นเองดังนั้น สำรับที่ผมจะใช้วันนี้ก็คือนี่ ”
เค้าพรรณาไปเรื่อยก่อนจะจบด้วยการ ร่ายซีล ลงมาในสนาม 3 ใบด้วยกันเลยทีเดียว
“ Cost mp 3 อัญเชิญ ซาโลมเทมเมอร์(Zalom’s Tamer) ที่ Df line ปีกแห่งวิกฤติ ไครซิสวิงค์ สกาเลต(Crisis Wing -Scarlet) และ ปีกแห่งวิกฤติ ไครซิสวิงค์ ไนเกอร์ (Crisis Wing-Niger) ทั้งสองตัวไปที่ At line ”
ธนพัฒน์ กำหนดไลน์ ให้กับ ซีลทุกใยที่ร่ายลงมา ซึ่งมี ผู้ฝึกสัตว์ ซาโลมเทมเมอร์ ปักษาแห่งวิกฤติ อีกสองตัว
สีแดงละดำเหลืองอย่างละตัว
“ จากนั้น Cost mp 1 ให้ ซาโลมเทมเมอร์ ใช้ Skill เผ่า Beast, Dragon หรือ Monster 1 ใบในสนาม
ได้รับ Last Dance Curse At+2 เป็นเวลา 1 Subturn เลือกให้ ไครซิสวิงค์ สการ์เลต เป็นเป้าหมาย Skill นี้ ”
สิ้นคำ วิหกแห่งวิกฤติสีชาด ก็ลุกโหมร่างของมันด้วยเปลวเพลิงจาก คฑาของ ซาโลมเทมเมอร์
“ Cost Mp 1 ให้ ไครซิสวิงค์สการ์เลต โจมตีไปที่ อมาร่า ”
ธนพัฒน์ ประกาศโจมตี วิหกแห่งวิกฤติสีชาด ก็โจนทะยาน เข้าใส่ อมาร่า ด้วยร่างที่ลุกโชนด้วยเปลวเพลิง
“ Cost Mp 2 ร่าย ดิสเคอเรทเมนท์(Discouragement) ไปที่ ไครซิสวิงค์ สการ์เลต ด้วยผลของมันจะทำให้ ซีลที่ติด At -2 ”
ชุติการ ร่ายมิสติกบนมือโต้กลับไปทันที ไฟที่ โหมร่างของมัน ได้อ่อนลง ทว่า กระนั้นก็ตาม อมาร่า กลับถูก
มันพุ่งเข้าชนจนสลายเป็นละอองไปในทันที ก่อนจะกลับเป็นผนึกการ์ดตามเดิม ภาพที่เกิดขึ้นทำเอาเธอตะลึงไปไม่น้อย
“ ด้วยผล Ability ของ ไครซิสวิงค์สกาเลต เมื่อมัน ติด Curse จะได้รับ At + 2 หน่วย ทำให้ผลรวมของ At เป็น 9 หน่วย
ดังนั้นต่อให้ติด ดิสเคอเรทเมนท์ ก็ตามที แต่ ผลรวมค่าพลังฝ่ายผมก็ยังชนะ อมาร่า ได้อย่างฉิวเฉียด เลยนะครับ ”
เค้า อธิบาย เพื่อแก้ข้อสงสัยของเธอ
“ เอาล่ะงั้นผมขอบุกต่อล่ะนะครับ ท่านผู้แทน Cost mp 1 ร่ายไครซิสวิงค์ บลูคริมสัน(Crisis Wing-Blue Crimson)
ลงไปที่ At line จากนั้น Cost mp อีก 1 ให้มันโจมตีไปที่ อารักขเทวดาโฮลี่ ”
สิ้นคำ ซีล วิหกแห่งวิกฤติตัวใหม่ก็ถูกร่ายออกมา พร้อมกับบุกเข้าไปโจมตี ใส่จน โฮลี่ ถูกทำลายตามไปอีกใบ
“ ไม่มี Mp เหลือแล้วดังนั้จึงขอหมดรอบการเดินเพียงเท่านี้ และเมื่อรอบของผมหมดลง เวลาก็ได้ผ่านไป 1 subturn แล้ว
ดังนั้น ไครซิสวิงค์ สการ์เลต ก็จะต้องถูกส่งไปยัง Shrine ตามเวลาที่ระบุของ Last Dance Curse ”
สิ้นคำ ทันทีที่เค้าประกาศหมดรอบ ร่างของ วิหกแห่งวิกฤติสีชาด ก็สลายเป็นละอองไป
“ ดูเหมือนจะเป็นการบุกแบบเอาตัวเข้าแลกเลยนะคะแบบนี้น่ะ ”
ชุติการ กล่าวประชดประชันเล็กน้อย ตอนนี้เธอถูกบุกอย่างสายฟ้าแลบจนตั้งตัวแทบไม่ติด
“ ก็คงจะเป็นเช่นนั้นล่ะครับท่านผู้แทน เพราะว่าทางเดียวที่คนธรรมสามัญจะเอาชนะ คนที่สมบูรณ์กว่า แข็งแกร่งกว่า
มันก็ต้องสู้แบบถวายหัวอย่างนี้ล่ะครับ แต่ว่านะ….. ”
เค้ากล่าวรับคำเสียงเรียบก่อนจะหยุดไปซะดื้อๆ เพราะละอองแสงของ วิหกที่สลายไปเมื่อครู่นั้น
กลับรวมตัวคืนสภาพกลับมาเป็น วิหกแห่งวิกฤติตามเดิม สร้างความแปลกใจให้แก่เธอเข้าไปอีกครั้ง
“ แต่ว่านะครับ เพราะคนที่สามัญรู้จักกับความขมขื่นที่เป็นดั่งคำสาปติดตัว ดังนั้นพวกเค้าจึงแข็งแกร่งขึ้นและจะลุกขึ้น
ทุกครั้งที่ล้มลงไป จริงไหมครับ ก็เหมือนกัน เมื่อ ไครซิสวิงค์ สกาเลต ถูกส่งไปยัง Shrine ด้วยผลของ Curse
มันก็จะถูกส่งกลับเข้ามาในสนามใหม่อีกครั้ง ”
คำอธิบายของ เค้า ทำให้เธอกระจ่างในความหมายของสำรับที่เค้าเปรยไว้ตั้งแต่ก่อนเริ่มดวลแล้ว
{คนๆนี้….ดูเหมือนจะไม่ใชเก่งแต่ปากซะแล้วสิ…}
ชุติการคิด หลังจากได้เห็นการผสาน เมื่อครู่ไป
“ ดูเหมือนท่าน รมต. จะยึดติดกับ ความเป็นสามัญเหลือเกินนะคะ ”
เธอเหน็บกลับไป หลังจากที่เริ่มคิดแล้วว่า คำพูดเทียบครั้งแล้วครั้งเล่านั่น น่ารำคาญยิ่งนัก
“ มันเป็นเรื่องปกติครับ ในชีวิตจริง ผู้คนก็ต้องแข่งขันกันเองอยู่แล้ว ยิ่งพวก DNA-Changer เกิดขึ้นมาแบบนี้
พวกสัตว์ประหลาด ที่สมบูรณ์ไปซะทุกอย่างแบบนั้น ความสามารถที่ความ มุมานะของมนุษย์ก้าวข้ามไม่ได้
เพราะแบบนี้ยังไงล่ะครับ เราถึงต้องมีการพัฒนาตัวเองอยู่เสมอๆ หุ่นพวกนั้นก็เหมือนกัน เพื่อที่จะ….โอ๊ะโอ๋
ดูเหมือนจะพูดมากไปแล้วสินะครับ งั้นเรากลับมาเล่นกันต่อเถอะนะครับตาคุณแล้ว ท่านผู้แทน ”
เค้ากล่าว ไปเรื่อยๆก่อนจะตัดพ้อเรื่องที่พูดอยู่ไป
{ไม่มีผิดแน่…คนๆนี้เป็นพวกลัทธิ Neo-Nazism แน่นอนคิดแบ่งฝักแบ่งฝ่าย กับ DNA-Changer ได้ขนาดนี้
ทำไมคนแบบนี้ถึงได้ขึ้นมากุมอำนาจของประเทศนี้ได้นะ}
ชุติการ คิดขณะที่กำลังจะเริ่มรอบของเธอ ด้วยการ จั่วการ์ด ซีลและมิสติกขึ้นมาอย่างละใบ
[ชุติการ Status; Hand:Seal 3 ,Mystic 2 Mp:5/7 Shrine 3/6 ]
[รมต. ธนพัฒน์ Status; Hand:Seal 1 ,Mystic 2 Mp:7/7 Shrine 0/6 ]
……………………………….
…………………………………………….
ท่าเรือราชวงศ์ ใกล้แม่น้ำเจ้าพระยา เวลา 19.30 น.
“ ให้ตายสิ อยู่ไหนกันนะ ตัวการของเรื่องพวกนี้เนี่ย ”
ริน บ่นพลางปาดเอาหิมะที่ค้างอยู่บน ฮู้ดเสื้อคลุมออก เธอกับ ภูเขา ออกเดินตรวจไปรอบท่าเรือ ที่เต็มไปด้วยหิมะนี่
มากว่า 2 ชั่วโมงแล้ว
“ จุดที่คลื่นพลังเข้มข้นก็เป็นแถวๆนี้ พวกมันก็น่าจะอยู่ใกล้ๆนี่ล่ะน่า ใจเย็นค่อยๆหาไปก็ได้ ”
ภูเขา เอ่ยอย่างสบายอารมณ์ขณะที่ เดินวนหาไปรอบๆอย่างเอื่อยเฉื่อย
“ แหม แต่นี่มันก็หามาตั้งเป็นชั่วโมงๆ แล้วนะ ไม่เห็นมันจะมีใครเลยซักคน แถมยิ่งมืดก็ยิ่งหนาวหนักเข้าไปอีก ”
ริน บ่นเสียงดังลั่นขึ้นมา เธอเริ่มจะหงุดหงิดกับงานแบบนี้เต็มทีแล้ว ทว่าเธอก็ต้องหุบปากไปเสีย
เมื่อ อยู่ๆลมก็พัดโหมเข้ามา ทำให้เธอหนาวหนักเข้าไปอีกแม้จะสวมเสื้อคลุมทับเสื้อกันหนาวแล้วก็ตาม
สิ่งที่ตามมาจากนั้นคือ หลอดไฟบริเวณท่าเรือทั้งหมด ดับลงพร้อมๆกันจนมืดสนิท
มันมืดซะจน แทบจะมองออกห่างจากตัวเองไปได้ไม่เกิน 10 เมตร เลย
“ เจี้ยกๆ ปุจฉาฉันเป็นใครเอ่ย~~~ ”
เสียงสะท้อนดังก้องมาจาก ทั่วทั้งบริเวณ เธอกับ ภูเขา ทั้งสองหยุดเงียบเพื่อที่จะเตรียมรับมือกับ ศัตรู
ท่ามกลางความมืดมิด นี้บรรยากาศรอบข้างเงียบเชียบและเย็นยะเยือก ไม่นาน
สายลมก็พัดหอบเอาหิมะกองใหญ่มากองอยู่ต่อหน้าพวกเธอ
ก่อนที่ร่างใต้กองหิมะนั้น พุ่งออกมา ร่างนั้นเป็นวานรขนกายขาวพิสุทธิ์ ดวงตาเจ้าเล่ห์แสนซนของมันกลอกไปมา
ที่คอของมันห้อย จี้ห้อยคอที่เป็น Note เช่นเดียวกับพวกเค้า
“ เจี้ยกๆ ฉัน 1 ใน 4จตุรเทพแห่ง Celetia Military ผู้หาวเป็นดาวเป็นเดือน ลูกพระพายผู้เป็นอมตะ
ยามสายลมพัดผ่านก็จะฟื้นคืนชีพได้ เจี้ยกค่อก ข้าเป็นใครเอ่ย ” /Get Set/
เจ้าวานรขาว ถามขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับที่ Note ของมัน แสตนบายด์ เป็นที่เรียบร้อย
………………
………………………….
………………………………………
ณ บ้านร้างซึ่งตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยว ในสุดของซอย แห่งหนึ่ง
“ หลังนี้สินะบ้านของนายน่ะ…..ยังไงซะก็คงต้องขอคำตอบจากนายล่ะนะ ความรู้สึกนี้ของฉันน่ะ ”
ลูเซีย เปรยขึ้นกับตัวเธอเอง ก่อนจะเปิดประตูรั้วและก้าวเท้าเข้าไปในบ้านหลังนั้น
ที่เสาประตูรั้วมี ป้ายชื่อผู้เคยอาศัยอยู่ใยบ้านหลังนี้ ซึ่งมีฝุ่นจับเขรอะ ไปทั่วทั้งแผ่น
คำที่สลักเอาไว้บนนั้นคือ [อิสร…… ]
To be Continue…………..