Welcome Guest: เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก วันเวลาปัจจุบัน เสาร์ พ.ย. 15, 2025 11:03 am

หน้าเว็บบอร์ด Wiser Summoner Novel +เรื่องย่อ Epi 3 Lost Avalon, the Fallen of the Elf +

อ่านนิยาย Summoner Master Episodeต่าง ๆ ได้ที่นี่

Moderator: Jinger Ginger


+เรื่องย่อ Epi 3 Lost Avalon, the Fallen of the Elf +

โพสต์โดย เซนต์ แมกนัส เมื่อ อาทิตย์ ก.ค. 27, 2025 4:16 am

Epi 3 Lost Avalon,
the Fallen of the Elf


โลก Terra นี้กำเนิดมาได้อย่างไร?
และ มีสภาพเป็นเช่นใดบ้างเมื่อเริ่มแรก?

แรกเริ่มเดิมทีพระเจ้าสูงสุดแต่พระองค์เดียวได้สร้างทุกสิ่งขึ้นมาจากความว่างเปล่า ทำให้สิ่งที่ไม่ดำรงนั้นดำรงขึ้นมา และ สิ่งที่มองไม่เห็น มองเห็นได้ขึ้นมา ในจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาล โลก Terra ก็กำเนิดขึ้นมา
โดยหลังจากการจัดการรูปแบบธาตุและพลังงานทั้งหมดแล้ว โลก Terra ก็มีผืนแผ่นดิน และ สภาพแวดล้อมต่างๆจากพลังของธาตุทั้ง 6 แต่ตอนแรกนั้นยังไม่มีสิ่งมีชีวิตอย่างสัตว์ แมลง รวมถึงมนุษย์อยู่เลย สิ่งที่พระเจ้าได้ทรงสร้างขึ้นมาก่อนจากผืนดินนั้นคือ พืช

พืชนั้นเจริญงอกงามเติบโตขึ้น และ ปกคลุมแผ่นดินก่อกำเนิดเป็นทุ่งหญ้า ป่า และ แวดล้อมในระบบธรรมชาติ พืชมากหน้าหลายพันธุ์เหล่านั้นที่ถือกำเนิดมาก่อนมีหน้าที่ในฐานะ ผู้จัดเตรียม คือเหมือนเป็นแหล่งทรัพยากร อู่ข้าว อู่น้ำ สร้างพลังงาน เป็นแหล่งอาหารให้กับสิ่งมีชีวิตอื่นๆที่เกิดตามมาทีหลัง โดยพืชแต่ละชนิดก็มีหน้าที่และประโยชน์ใช้สอยต่างๆกันไปทั้งเป็นอาหาร ทำยารักษาโรค แก้อาการต่างๆ หรือนำมาใช้ผลิตในฐานะวัตถุดิบต่างๆ

โดยที่หลังพืชได้กำเนิดขึ้นมาแล้ว สิ่งมีชีวิตอื่นๆก็กำเนิดตามมา ทั้งสัตว์น้อยใหญ่บนผืนดิน สัตว์น้ำในท้องทะเล หรือ สัตว์ปีกบนท้องนภา รวมไปถึงบรรดาแมลง จุลชีพต่างๆ รวมถึงมนุษย์ด้วย โดยที่พระเจ้าทรงสร้างทุกอย่างให้อยู่ในสภาพสมดุลย์เกื้อหนุนซึ่งกัน และ กัน

แต่ละชีวิตที่ถือกำเนิดขึ้นมาต่างมี หน้าที่ โดยตัวของมันเองที่จะทำประโยชน์ให้ระบบนิเวศ หรือ ธรรมชาติโดยรวมทั้งหมด ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ในรูปแบบสัมพันธภาพที่เชื่อมโยงกันอย่างลงตัวนี้เป็นดั่งโปรแกรมที่สมบูรณ์แบบที่ถูกวางไว้อย่างดี และ ทั้งหมดก็สามารถดำเนินสมดุลย์นี้ต่อไปได้ตามโปรแกรมที่พระเจ้าทรงกำหนดเอาไว้

แต่ไม่เพียงชีวิตบนผืนโลก Terra จะมีเพียงแค่นี้ ยังมีลักษณะสภาพที่สูงกว่าอยู่ด้วย นั่นคือ เทพ นั่นเอง เทพนั้นมีมากมายหลายองค์ แต่ละองค์ก็มีหน้าที่ต่างกันออกไป เช่นเทพพิทักษ์ในธรรมชาติต่างๆ อย่าง Undine ที่พิทักษ์สายน้ำ Raina ที่เป็นเทพธิดาแห่งสายฝน เทพ Baraman ที่คอยพิทักษ์ผืนดินผืนป่าแห่งฟูดินัน และเทพองค์อื่นๆ
โดยเทพก็จะเกิดจากพระเจ้าสูงสุดมาอีกทีหนึ่ง และมีสถานภาพที่สูงกว่าสิ่งมีชีวิตทั่วไปบนพื้นโลกอย่าง สัตว์ พืช และ มนุษย์ แต่ต่ำกว่าพระเจ้าที่สร้างขึ้นมา ซึ่งเทพเหล่านี้ก็เป็นเสมือนอีกโปรแกรมหนึ่งของพระเจ้าที่คอยทำหน้าที่พิทักษ์ระบบต่างๆในธรรมชาติ และ คอยพิทักษ์แต่ละสถานที่อีกทีหนึ่ง หากใครมาทำลายสมดุลย์แห่งธรรมชาติ เทพเหล่านั้นย่อมต้องออกมาจัดการปรับสมดุลย์ให้เข้าที่เช่นเดิมนั่นเอง โดยที่เทพต่างก็ทำหน้าที่ของตนตามที่ถูกโปรแกรมไว้โดยไม่ได้มีความรู้เรื่องของพระเจ้าสูงสุดไปเสียเท่าไหร่ นอกจากจะรู้เพียงว่า มีพระเจ้าสูงสุดดำรงอยู่ เท่านั้น

กำเนิด เอลฟ์ ในโลก Terra

เหล่าทวยเทพนั้นเมื่อเกิดจากพลังงานชีวิตที่กลั่นตัวออกมาของพระผู้สร้างสูงสุด ก็ได้รับพลังการสร้างสรรค์ขึ้นมาด้วย เทพเหล่านี้จึงได้มีการสร้างเทพระดับรอง(เช่น พันนิชชูล่า) และสัตว์บางชนิดขึ้นเพิ่มเติมด้วย หากแต่ว่าวันหนึ่ง เทพเหล่านี้ เกิดคิดอยากสร้างสิ่งที่เพียบพร้อมสมบูรณ์ขึ้นมา และ คิดจะสร้างให้สูงส่งกว่าสัตว์ทุกชนิดในโลกTerra ที่พระผู้สร้างแรกเริ่มได้สร้างไว้ ที่ล้วนมีข้อบกพร่องใหญ่บ้างเล็กบ้างหลากหลายในแต่ละเผ่าพันธุ์ และมีความทุกข์ จากการแก่ เจ็บ และตาย เหล่าคณะเทพจึงได้รวมพลังกันสร้างสรรค์สิ่งมีชีวิตที่ใกล้เคียงพวกตนมากที่สุด นั่นคือต้นกำเนิดแห่งเอลฟ์

เทพทั้งหลายใส่ทุกสิ่งที่เรียกว่าดี และที่ตนคิดว่าดี ลงไปในเอลฟ์ทั้งหมด เอลฟ์จึงเป็นสิ่งมีชีวิตที่สมบูรณ์แบบพร้อม มีความงดงาม มีพลังงานที่สูงส่ง เต็มไปด้วยความดีงาม เพียบพร้อมทั้งสติปัญญา และ ความสามารถ และที่สำคัญ ความผิดพลาดมหันต์ที่สุดคือ การให้พรพวกเอลฟ์ให้เป็นอมตะ

สรรพสัตว์ยามที่เกิดขึ้น ก็ย่อมมีสิ่งอื่นที่ตาย เมื่อจะกินก็จำต้องเบียดเบียนชีวิตอื่น แต่พระผู้สร้างสูงสุดแรกเริ่ม ได้ใส่ความสมดุลแห่งวงจรชีวิต แม้สิ่งมีชีวิตที่แข็งแรงอยู่ยอดสุดของห่วงโซ่อาหาร ยังกลับกลายถูกย่อยสลายโดยสิ่งมีชีวิตที่เล็กที่สุด ทุกอย่างในโลกทำหน้าที่ต่างๆกัน จึงต้องแตกต่างกัน เพื่อประสานเข้ากัน พระองค์ไม่ได้มองว่าการเจ็บ การตาย เป็นทุกข์ แต่เล็งเห็นว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงเพื่อการ ดำรง ที่ทำให้โลกนี้สมดุล แต่เอลฟ์เป็นอมตะจึงมิรู้ตาย สมดุลของโลกจึงเสียไปเมื่อแผ่นดินมีเอลฟ์ที่มิรู้ตายเต็มไปหมด เมื่อโลกอันถูกกำหนดจากพระเจ้า ให้สมดุล บังเกิด การเกิดที่ไร้การตายมากมายฉับพลันเช่นนี้ โลกจึงพยายามปรับตัวให้เกิดสมดุลให้จงได้


ดังนั้นหลังจากพวกเอลฟ์อยู่อย่างมีความสุขในฐานะสิ่งมีชีวิตที่สูงส่งที่สุดในโลก เพียง7,000ปี ก็เกิดการอาเพทครั้งใหญ่ขึ้นในโลก เริ่มที่เหล่าพืชที่เป็นพวกแรกที่พร้อมใจยอมตายลง เพื่อถ่วงสมดุล และพยายามถอยการดำรง ให้ย้อนกลับ โลกเริ่มหมุนช้าลง จนวงโคจรเริ่มย้อนกลับ ภูมิอากาศทั่วโลกเริ่มเปลี่ยนแปลง โลก Terra กำลังออกแรงอย่างมหาศาลเพื่อหาสมดุล แต่เหล่าเอลฟ์กลับหาสูญเสียชีวิตไม่ ในทางกลับกันสัตว์ใหญ่น้อยกลับเป็นฝ่ายตายลงแทนและเริ่มสูญพันธุ์ แล้วเอลฟ์ที่เป็นอมตะเหล่านั้นก็หามีความสุขไม่ ชีวิตที่ยาวนานมิรู้จบเหมือนเป็นบ่วงพันธนาการนิรันดร์ที่ไม่มีจุดจบทำให้เอลฟ์แม้จะเป็นสิ่งมีชีวิตที่สมบูรณ์พร้อมทุกอย่าง แต่สิ่งที่พวกเอลฟ์ไม่มีคือ ความสุข พวกเขาแสวงหาความตายแต่ไม่พบ และต้องดำรงเป็นเผ่าพันธุ์ไร้สุขมิรู้ตายเช่นนี้ราวถูกสาปไปชั่วกัลป์

เมื่อสมดุลโลกเสียลงเพราะการสร้างเอลฟ์ของเหล่าเทพ หลังการเสียสมดุลยาวนานถึง 500 ปี ก็เป็นครั้งแรกที่พระเจ้าสูงสุดได้ยื่นหัตถ์ของพระองค์เพื่อจัดทุกอย่างให้กลับสู่สมดุล ขึ้นมา หากแต่ว่า ไม่มีใครหรือชีวิตใดในโลก Terra อาจจะมองเห็นสัมผัส หรือเข้าใจพระองค์ได้ เพราะทรงเป็นสถานภาพที่สูงสุดกว่าสิ่งสร้างทุกอย่าง เหมือนดังตัวโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ไม่มีวันเข้าใจหรือมองเห็นโปรแกรมเมอร์ของตนได้

ดังนั้น การสร้างโปรแกรมใหม่ลงไปควบคุมจัดระบบทุกอย่าง จึงเป็นสิ่งที่ต้องบังเกิด พระเจ้าทรงส่งทูตสวรรค์สิ่งสร้างสูงสุดที่รับใช้พระองค์ เป็นสถานะเดียวที่ติดต่อกับพระเจ้า และสิ่งสร้างอื่นทุกอย่างได้ เหล่าทูตสวรรค์ของพระองค์ลงมา แจ้งข่าวเหล่าทวยเทพทั้งหลายในโลก และห้ามการสร้างสิ่งมีชีวิตชั้นสูงขึ้นอีก และให้เหล่าเทวทูต นำพรอันหนึ่งไปยังเหล่าเอลฟ์ นั่นคือ เมื่อใดที่เอลฟ์ หมดความต้องการที่จะดำรงชีวิต เอลฟ์นั้นจะสลายกลับสู่เหล่าเทพผู้สร้างตน ภายใน1วันของเอลฟ์(เท่ากับ7วันของมนุษย์) หากภายใน1วันนั้น เอลฟ์เกิดเปลี่ยนใจก็ยังสามารถกลับแข็งแรงมีชีวิตต่อไปได้

บรรดาเอลฟ์ได้แยกย้ายไปอาศัยในหลายทวีป จากนั้นพระเจ้าผู้สร้างมีพระดำริว่า จะสร้างสิ่งมีชีวิตที่สมดุลกว่าให้กำเนิดขึ้นในโลก Terra เพื่อเป็นตัวอย่างให้เหล่าเทพและเหล่าเอลฟ์ได้เห็น ในการนี้ เหล่าเทพ และเอลฟ์ และแม้แต่ทูตสวรรค์ ได้เริ่มรอคอยอย่างใจจดจ่อ ที่จะได้เห็นสิ่งสร้างที่เรียกจะถูกว่า มนุษย์ นี้

Calandur nérë Nárendur lodrë Súliën vénë Niral thalórë Terrathûs rendur Morveth ulëhto
แสงดับไป ไฟดับมอด ลมพัดแผ่ว น้ำเหือดหาย ดินพังทลาย มืดมิดหมดหวัง
ภาพประจำตัวสมาชิก
เซนต์ แมกนัส
0
 
โพสต์: 1413
Cash on hand: 333.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: +เรื่องย่อ Epi 3 Lost Avalon, the Fallen of the Elf +

โพสต์โดย เซนต์ แมกนัส เมื่อ พฤหัสฯ. พ.ย. 06, 2025 11:25 pm

ธาตุของเอลฟ์

เอลฟ์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ประกอบขึ้นจากธาตุทั้งสี่ — ดิน น้ำ ลม และไฟ — เช่นเดียวกับสรรพชีวิตอื่นในโลก แต่ในร่างกายของเอลฟ์แต่ละตนจะมี “ธาตุหลัก” ที่มีพลังเข้มข้นกว่าธาตุอื่น ธาตุนี้คือฐานธาตุที่กำหนดพลัง ความถนัด และบุคลิกลักษณะของเอลฟ์ผู้นั้น

ธาตุหลักของเอลฟ์ไม่ได้เลือกโดยตนเอง หากแต่ถูกกำหนดโดย “พลังแห่งเทพประจำธาตุ” ที่หลั่งไหลเข้ามาขณะเอลฟ์ถือกำเนิด เอลฟ์ที่เกิดในช่วงซึ่งเทพธาตุดินทรงอิทธิพลก็จะมีพลังธาตุดินเป็นหลัก เช่นเดียวกับผู้ที่ได้รับอิทธิพลของเทพน้ำ ลม หรือไฟในเวลานั้น ๆ

ในยุคแรกเริ่ม เมื่อเหล่าเอลฟ์เพิ่งถือกำเนิดจากพระหัตถ์แห่งเทพทั้งสี่ กลุ่มเอลฟ์รุ่นแรกจึงมีจำนวนสัดส่วนของธาตุหลักที่ใกล้เคียงกันทั้งสี่ธาตุ เป็นสมดุลแห่งธรรมชาติที่สะท้อนถึงการร่วมสร้างของเทพทั้งปวง

อาณาเขตของเอลฟ์

เดิมที เอลฟ์อาศัยอยู่ร่วมกันในพื้นที่เดียวโดยไม่มีการแบ่งแยก แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไป จำนวนเอลฟ์เพิ่มขึ้น พวกเขาเริ่มกระจายตัวออกไปตามทวีปต่าง ๆ และสร้างชุมชนหรือกลุ่มตระกูลของตนเอง จึงเริ่มเกิด “อาณาเขต” ของแต่ละเผ่าขึ้น

อย่างไรก็ตาม อาณาเขตของเอลฟ์ไม่ได้มีเส้นแบ่งชัดเจนเหมือนของมนุษย์ เพราะมักทับซ้อนกันตามภูมิประเทศและอิทธิพลของเทพประจำธาตุ ตัวอย่างเช่น บริเวณชายฝั่งทะเลซึ่งอยู่ในอิทธิพลของธาตุดิน ลม และน้ำ มักมีเอลฟ์น้ำและเอลฟ์ลมอาศัยอยู่หนาแน่น แต่หากบริเวณนั้นมีหน้าผาที่ติดปล่องภูเขาไฟ เอลฟ์ไฟและเอลฟ์ดินก็สามารถตั้งถิ่นฐานอยู่ร่วมกันได้

แม้จะไม่มีพรมแดนแน่นอน แต่เมืองของเอลฟ์แต่ละสายจะมี “หัวเมือง” หรือสิ่งปลูกสร้างที่สะท้อนศิลปะและวิทยาการเฉพาะของตน สิ่งปลูกสร้างเหล่านี้มีพลังแห่งธาตุสอดคล้องกับผู้ที่อาศัยอยู่ ทำให้เอลฟ์ในพื้นที่นั้นมีพลังเข้มแข็งขึ้น หากมีการสร้างเมืองและตั้งรกรากอย่างมั่นคงตามหลัก “วิทยาการแห่งการเสริมธาตุ” อิทธิพลของเทพประจำธาตุนั้นก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้น และดึงดูดเอลฟ์ธาตุเดียวกันให้เข้ามาอยู่รวมกันมากขึ้น


ปรัชญาและหลักความศรัทธาของเอลฟ์

ในยุคแรกแห่งเผ่าเอลฟ์ ความเชื่อและปรัชญาแห่งชีวิตได้แตกแขนงออกเป็นสองสายสำคัญ ซึ่งกลายเป็นรากฐานทางจิตวิญญาณของเผ่าพันธุ์นี้มาจนถึงปัจจุบัน

สายแห่งแสงกลางวัน — ศรัทธาในเทพโซลูเร็ธ (Solureth)
เอลฟ์ผู้ศรัทธาในเทพแห่งดวงอาทิตย์ โซลูเร็ธ (Solureth) เชื่อมั่นใน “ระเบียบ กฎหมาย และหลักการ” พวกเขามองว่าแสงสว่างคือสัญลักษณ์แห่งความจริงและความยุติธรรมที่หล่อเลี้ยงโลก ความศรัทธานี้ถ่ายทอดผ่าน วจีภาวนา

“Solureth il aurë, min calarion.”
แปลว่า “โซลูเร็ธแห่งอรุณ แสงคือหนทางของเรา”

สายแห่งรัตติกาล — ศรัทธาในเทพลูนาเร็ธ (Lunareth)
อีกสายหนึ่งคือผู้ยึดมั่นในเทพแห่งดวงจันทร์ ลูนาเร็ธ (Lunareth) ซึ่งสอนให้ดำรงตนอย่างยืดหยุ่น เป็นหนึ่งเดียวกับการเปลี่ยนแปลงและกระแสแห่งธรรมชาติ เอลฟ์สายนี้เชื่อว่าความมืดมิใช่ความชั่ว หากแต่เป็นช่วงเวลาของการไตร่ตรองและการกลับคืนสู่สมดุล วจีภาวนาของพวกเขาคือ

“Lunareth il lómë, min silmë.”
แปลว่า “ลูนาเร็ธแห่งรัตติกาล แสงแห่งจันทร์คือคำสาบานของเรา”

Elenarielë Ainavorë
(บทเพลงแห่งแสงและเงา)

Minëa nórëa, úra mistë a lómë,
Lirien Ainavorë iltë anorë calima.
A lirya tári, nérion silmë entulë,
Solureth — min aurë cendë cala,
Lunareth — min lómë tessa sérë.
Nai te cirien mi menel i randa,
Cala ar lómë nórien, enta lúmëa.

ก่อนเอลฟ์แห่งเทอร์ร่าจะถือกำเนิด
โลกยังมีเพียงหมอกและเงาเงียบงัน
จนเมื่อทำนองแรกแห่งไอนาโวเร ขับขึ้นจากสวรรค์
บทเพลงนั้นก่อให้เกิดสองแสงคู่
โซลูเร็ธ — ผู้จุดอรุณแห่งวันแรก
ลูนาเร็ธ — ผู้วาดรัตติกาลให้โลกได้พักพิง
เมื่อทั้งคู่สลับกันถือหางเสือแห่งท้องฟ้า
แสงและเงาจึงเริ่มหมุนเวียน กลายเป็นกาลเวลา
ภาพประจำตัวสมาชิก
เซนต์ แมกนัส
0
 
โพสต์: 1413
Cash on hand: 333.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: +เรื่องย่อ Epi 3 Lost Avalon, the Fallen of the Elf +

โพสต์โดย เซนต์ แมกนัส เมื่อ เสาร์ พ.ย. 08, 2025 6:11 pm

Ardalómë Calaren
Collapse of Golden City


ตำนานสงครามสุริยันจันทรา
(The War of Dawn and Dusk)

ในกาลก่อนเหล่าเอลฟ์เคยพบกับการล่มสลาย หายนะครั้งใหญ่จากการละเมิดสมดุลแห่งธรรมชาติ เรียกว่า “การล่มสลายแรก” หลังจากนั้น พวกเขาจึงระมัดระวัง เคารพต่อกฎแห่งจักรวาล

เมื่อโลกเทอร์ร่ากลับมาเป็นแดนสวรรค์ เอลฟ์ทั้งหลายดำรงอยู่ท่ามกลางความกลมกลืนระหว่างแสงกับความมืด แสงและเงาหมุนเวียนสอดประสานกันอีกครั้ง เหล่าเอลฟ์อาศัยอยู่ในความกลมกลืนระหว่างวันและคืน ทั้งคู่คือเทพพี่น้องผู้ผลัดกันถือหางเสือแห่งฟากฟ้า ทำให้จักรวาลมีจังหวะ มีชีวิต และมีกาลเวลา ผู้ผลัดกันนำฟ้าหมุนเวียนให้โลกมีวันและคืน

แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไป ศรัทธาเริ่มแยกสาย เหล่าเอลฟ์ศรัทธาลัทธิแห่งอรุณเชื่อมั่นในระเบียบ กฎหมาย และแสงแห่งความจริง พวกเขามองว่าโลกต้องถูกปกครองด้วยแบบแผน ความดีคือสิ่งแน่นอน การมีกฎเกณฑ์คือหนทางเดียวที่นำชีวิตที่ผาสุข

อีกฟากหนึ่ง เหล่าเอลฟ์ผู้บูชาเทพแห่งรัตติกาลกลับมองว่าความจริงมิได้มีเพียงหนึ่งเดียว ความถูกต้องย่อมผันแปรไปตามสถานการ ไม่มีความดีที่แท้จริง พวกเขายอมรับความเปลี่ยนแปลง ยกย่องเสรีภาพ และเชื่อว่าทุกสิ่งควรเติบโตตามธรรมชาติของมันเอง

ความแตกแยกของอุดมการณ์

ในช่วงแรก ทั้งสองอุดมการณ์อยู่ร่วมกันได้ แม้แนวคิดต่างกัน ทว่าเมื่อเวลาผ่านไป จำนวนเอลฟ์มากขึ้น เริ่มมีการแยกกัน หรือรวมหมู่อยู่ในกลุ่มที่คิดเห็นแบบเดียวกัน จนผู้ที่มีความคิดสุดโต่งค่อยๆมากขึ้น ความมั่นใจในอุดมการณ์กลายเป็นความเย่อหยิ่ง หลักศรัทธากลายเป็นสิ่งที่เอาไว้กล่าวโทษ ดังคำว่า "ศรัทธากลายเป็นดาบ คำสอนกลายเป็นกำแพง"

ฝ่ายแห่งอรุณมองว่า พวกบูชาดวงจันทร์นั้นชอบแหกกฎ ไร้ระเบียบ โลกสวยในความเสรี จนมีแต่ความวุ่นวาย และเรียกเหยียดว่า “ผู้หลงทางตาบอด” ส่วนฝ่ายแห่งรัตติกาลกลับมองว่า พวกถือกฎระเบียบสร้างกฎระเบียบรุงรังมากมายจนทำตามไม่ไหว จนชีวิตเป็นทุกข์โดยไม่จำเป็น เป็นพวกโง่ที่คิดกฎเพื่อจะได้อยู่อย่างเป็นสุข แต่กลับเป็นทุกข์เพราะกดดันทำตามกฎที่ตั้งกันเอง และเยาะเย้ยว่า “พวกตาพร่าเพราะแสงจ้าที่มืดบอดกว่าความมืดเสียอีก”

ผ่านไป 3000 ปี ความรุนแรงในสังคมนั้นเริ่มมากขึ้นจนถึงขีดสุด แต่ละฝ่ายบูชาอุดมการณ์ของเทพของตนจนกลายเป็นลัทธินิกายย่อย มีทั้งฝ่ายแนวคิดสายกลางที่แสวงหาการปรองดอง และพวกแนวคิดสุดโต่งที่คิดว่าควรกำจัดอีกฝ่ายออกไป จนถึงขั้นดูหมิ่นเหยียดหยามเทพของอีกฝ่าย และสร้างตำนานปรับเปลี่ยนให้เป็นปีศาจที่ชั่วร้าย และเทพของตนเป็นวีรบุรุษผู้ชนะ

มีการแต่งเรื่องให้เทพแห่งดวงจันทร์ เป็นปีศาจที่มีนิสัยส่ำส่อนทางเพศ ตะกละตะกราม อารมณ์แปรปรวน โหดร้ายเลวทรามต่างๆนาๆ และแต่งเรื่องให้เทพแห่งดวงอาทิตย์ กลายเป็นอสูรร้ายที่ไม่อยากให้โลกมีความสุข และสร้างการลงโทษ ความหวาดกลัว และคอยทำลายผู้ที่ไม่ทำตามใจตนเอง

ทั้งสองฝ่ายต่างสร้าง “นครทองคำ (Golden City)” ในอุดมคติของตน แต่ความพยายามสร้างสรวงสวรรค์ของตนโดยกำจัดคนที่มีความคิดที่แตกต่าง กลับกลายเป็นการก่อหายนะที่ทำลายทุกสิ่งที่พวกเขาปรารถนา

มหาสงครามสุริยันจันทรา

เมื่อการลบหลู่เหยียดหยามกันจนถึงฟ้าสวรรค์ จึงเกิดสงครามอันรุนแรง เมื่ออาทิตย์และจันทรามิได้หมุนเวียนอีกต่อไป แต่ปะทะกันกลางท้องฟ้า กลายเป็น “การระเบิดสงครามแห่งอรุณและรัตติกาล” ด้วยเอลฟ์คือสิ่งมีชีวิตที่ทรงภูมิปัญญาที่สุดในโลก ผู้ทรงปัญญากลับใช้ความรู้และวิทยาการ สร้างเครื่องจักรแห่งความตาย แต่ความพินาศและความตายไม่ได้เกิดกับพวกเขา กลับเกิดกับสรรพสัตว์ และชีวพันธ์ุ มากมาย สัตว์หลายชนิดถูกนำมาใช้ในสงคราม พืชถูกตัด เผา ทำลาย และนำมาทำอาวุธ แร่ธาตุถูกขุดขึ้นมาจนฟ้าหม่นหมอง อากาศกลายเป็นพิษ แผ่นดินสั่นสะเทือน น้ำทะเลเดือดพล่าน ภูเขาไฟระเบิด ลมกลายเป็นดาบประหัตประหาร และที่สุดพวกเขาทนทุกข์กับมลภาวะที่พวกตนก่อ แต่ด้วยความที่พวกเขาเป็นอมตะ การสงครามนั้นไม่มีผู้ชนะ มีเพียงเสียงร้องคร่ำครวญของเอลฟ์ที่ลืมไปว่าพวกเขาเกิดจากบทเพลงเดียวกัน

พวกเขาได้ถลำดำดิ่งสู่ขีดสุดของความชั่ว เมื่อหนทางสู่ความตายเดียวที่ฟ้าสวรรค์มอบให้ คือเอลฟ์นั้นต้องปรารถนาจะตายด้วยตนเอง จึงเกิดการนำเชลยไปทรมานนานนับปี เพื่อให้เอลฟ์นั้นภาวนาร้องขอความตายเพื่อหนีการทรมาน

พวกเขาได้ทำให้การล่มสลายเกิดขึ้นอีกครั้ง เป็นการล่มสลายครั้งที่สองที่คราวนี้เกิดจากน้ำมือของพวกเขาเอง ซึ่งรู้จักกันในประวัติศาสตร์ของเอลฟ์ว่า Ardalómë Calaren (การล่มสลายของนครทองคำ)

เมื่อวันและคืนเกลียดชังกัน วัฎจักรถูกทำลาย เวลาก็หยุดหมุนอีกครั้ง สุริยะเทพและจันทราเทพกลับมาโคจรพบกัน เผยแสดงเป็นดังภาพสะท้อนซึ่งกันและกัน ดังพี่น้องในห้วงเวลา ดังผู้กำเนิดมาร่วมกัน เสียงกระซิบของลมพัดแผ่วว่า

“เมื่อใดที่ผู้มีแสงดูหมิ่นผู้มีเงา และผู้มีเงาดูแคลนผู้ส่องแสง เมื่อนั้นโลกจะดับลงด้วยมือของเรา”

แสงและเงารวมเป็นหนึ่งเดียวปรากฎเป็นอวตารแห่งเทพผู้ลงทัณฑ์ จูดิคารีออน (Judicarion, the Punisher) ประกาศก้องจนเหล่าเอลฟ์ล้วนหวาดกลัวหัวหด ตัวสั่นยืนอยู่ไม่ได้

"ผู้มีกฎเมื่อทำผิดก็คือผู้ละเมิดกฎ ผู้ถือสมดุลหากไม่รักษาสมดุลก็คือผู้ทำลายสมดุล กระนั้นเราอาจให้อภัยคนเหล่านั้นได้
แต่เราจะไม่อภัยจิตใจที่ชั่ว เพราะผู้มีจิตใจที่ชั่วแต่ถือกฎก็ทำการชั่วโดยอาศัยกฎ และผู้มีจิตที่ชั่วโดยไร้กฎก็กระทำความชั่วโดยอาศัยช่องว่างของกฎ

เราจะลงโทษผู้นั้น แสงแห่งการลงทัณฑ์จะส่องไปถึงเงาที่เจ้าซ่อน และเงาแห่งชะตากรรมจะกลืนแสงที่เจ้าหวังพึ่งพา

จงจำไว้ การลบหลู่เราผู้หนึ่ง คือการลบหลู่อีกผู้หนึ่ง เพราะเราทั้งคู่คือแสงเดียวกันในต่างวาระ เจ้าไม่อาจลบหลู่สุริยเทพไปพร้อมกับบูชาจันทราเทพ และไม่อาจดูแคลนจันทราเทพพร้อมกับยกย่องสุริยเทพได้ และจงจำไว้ว่า พวกเจ้าก็เช่นเดียวกับเรา เกิดมาเป็นพี่น้อง จงแสวงหาทางอยู่ร่วมกันไม่ใช่กำจัดกันและกัน

หากพวกเจ้ายังไม่อ่อนน้อมยอมทำตาม เราจะรวมกันและทำลายพวกเจ้า แต่ถ้าพวกเจ้ารักกลมเกลียวเป็นหนึ่งเดียวกัน เราจะแยกจากกันอีกครั้งเพื่อให้พวกเจ้ามีชีวิต"

เอลฟ์ทั้งหลายสิ้นเรี่ยวแรง คุกเข่าลงร้องไห้ และสาบานต่อหน้าอวตารแห่งการพิพากษา ว่าจะไม่ลืมคำเตือนของสวรรค์อีก เรื่องนี้จึงถูกเล่าขานในหมู่เอลฟ์รุ่นหลัง เพื่อเตือนใจว่า “ความแตกต่างมิใช่ศัตรู แต่คือสมดุลของการดำรงอยู่”

พันธสัญญาแห่งเอลฟ์


แม้ว่าอุดมการณ์ในจิตใจของเหล่าเอลฟ์จะยังคงแตกต่างกัน แต่เหล่าเอลฟ์บูชาสององค์เทพร่วมกันเสมอ เพื่อจดจำตำนานแห่งการล่มสลายครั้งที่สองของเผ่าพันธ์ หลังเหตุการณ์นี้ เหล่าเอลฟ์มีพันธสัญญาร่วมกันว่า จะหาทางไกล่เกลี่ยข้อพิพาทใหญ่ๆด้วยสันติวิธี จะไม่ก่อสงครามกันอีก และจะระมัดระวังจิตใจของตน ไม่ให้ตกไปทางชั่วอันเป็นที่เกลียดชังของทั้งสุริยเทพและจันทราเทพ

นับแต่นั้นมา อาทิตย์และจันทร์จึงกลับมาโคจรร่วมกันอีกครั้ง
วันและคืนกลับสู่จังหวะเวลาของมัน
และเสียงเพลงแห่งชีวิต ก็ขับขึ้นใหม่อีกครั้งในสายลม...
บันทึกเป็นบทเพลงสุดท้ายแห่งตำนาน มหาสงครามสุริยันจันทรา

Calar min lómië, ar lómië min calar,
Auren ar lómë lendier, amar narta lórë,
Ar lindë cuilion liruva úvëronen.

“เมื่อแสงโอบรับเงา และเงาเปิดรับแสง
วันและคืนเคลื่อนผ่าน โลกจะหมุนต่อไป
และบทเพลงแห่งชีวิตจะขับขานนิรันดร์”
ภาพประจำตัวสมาชิก
เซนต์ แมกนัส
0
 
โพสต์: 1413
Cash on hand: 333.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: +เรื่องย่อ Epi 3 Lost Avalon, the Fallen of the Elf +

โพสต์โดย เซนต์ แมกนัส เมื่อ อาทิตย์ พ.ย. 09, 2025 8:34 pm

เอลฟ์ยุคที่สาม
(The Third Age of the Elves)

เมื่อเวลาหมุนครบพันปีหลัง “การล่มสลายครั้งที่สอง” วันที่โลกสั่นสะเทือนด้วยบทเรียนของพวกตน เผ่าพันธุ์เอลฟ์จึงค่อย ๆ ฟื้นตัวขึ้นจากซากแห่งอดีต พวกเขาเริ่มสถาปนาระเบียบใหม่แห่งสวรรค์และแผ่นดิน จารึกกฎศักดิ์สิทธิ์เพื่อมิให้หายนะหวนกลับมาอีก

ในยุคนี้ บรรดาเอลฟ์แห่งแสงอรุณ ผู้บูชา โซลูเร็ธ แห่งสุริยะเทพ ได้พัฒนาความเชื่อและปัญญา จนแตกแขนงเป็นสามสำนักใหญ่ แต่ละสำนักสะท้อนด้านหนึ่งของแสงที่แตกต่างกัน

1. สำนักอรุณรุ่ง (Aurion)

เอลฟ์แห่งอรุณรุ่งเป็นพวกแห่งความสมดุลระหว่างกฎและเมตตา พวกเขาแสวงหาหนทางปรองดองกับลัทธิแห่งจันทรา เห็นคุณค่าของการปรับตัวและความเข้าใจ แม้ยึดมั่นในระเบียบ แต่ยอมเปิดใจรับการเปลี่ยนแปลง

สภาแห่งศรัทธา (Council of Calarion) ถูกตั้งขึ้นเพื่อสังคายนาคำสอน มิให้ศาสนาแข็งกระด้างเกินไปหรือหย่อนยานเกินควร
เพราะเหตุนี้เอง เอลฟ์จำนวนไม่น้อยจากลัทธิรัตติกาลจึงหันมาเข้าร่วมต่ออรุณรุ่ง สำนักนี้เป็นที่แพร่หลายที่สุด และถือเป็นหัวใจของอารยธรรมเอลฟ์ยุคที่สาม

2. สำนักแสงเจิดจ้า (Illurath)

เอลฟ์สายนี้เคร่งครัดดุจศิลา ถือกฎเกณฑ์และความถูกต้องเป็นสรณะ พวกเขาเห็นว่าสำนักอรุณรุ่งอ่อนข้อ และหย่อนยานมากเกินไป จึงปฏิรูปแนวคิดตนเองใหม่จึงหวนกลับไปยึดแนวคิดดั้งเดิมของสุริยะเทพอย่างเข้มงวด แม้ยังเอ่ยพระนาม ลูนาเร็ธ ในบทสวด แต่ก็เพียงเพื่อให้เกียรติทางพิธี บางคนอาจถึงกับไม่ให้ความสำคัญเลย บางนครกล่าวถึงพระนามนั้นเพียงปีละครั้ง ในวันระลึกบาปในฐานะผู้ร่วมอวตารผู้ลงทัณฑ์เท่านั้น

พวกเขายึดมั่นในความถูกต้อง ความบริสุทธิ์ และความชัดเจนของแสงและหลีกเลี่ยงการคบหากับผู้ถือความเชื่ออื่น ดุจดวงอาทิตย์ที่ยืนเดี่ยวอยู่กลางฟ้า เงาของจันทราไม่จำเป็น

3. สำนักแสงอัสดง (Velanor)

สำนักแห่งอัสดงกำเนิดจากเหล่านักปราชญ์ผู้เชื่อว่า ปัญญาเหนือกว่ากฎ พวกเขามุ่งสู่การแสวงหาความรู้ในจักรวาลและธรรมชาติ
ค้นคว้าวิทยาการโบราณ ศึกษาคำสอนของทั้งสุริยะและจันทรา เพื่อเข้าใจความลับแห่งสมดุลแท้จริง แม้ยังคงเคารพกฎเกณฑ์ของสังคม แต่ยอมให้เหตุผลและปัญญาเป็นแสงนำทาง แม้ยังยึดกฎระเบียบในการอยู่ร่วมกัน แต่ให้เหตุผลนำจึงอาจคลี่คลายหรือปรับปรุงกฎหากจำเป็น ในสายตาพวกเขา ลูนาเร็ธมิใช่เทพหรือปีศาจ หากคือ ครูแห่งความรู้เร้นลับ ผู้ส่องแสงจันทร์นำพาใจผู้เรียนรู้สู่ความเข้าใจในธรรมชาติของตนเอง จึงเคารพในฐานะที่ต่างจาก 2 ลัทธิแรก

ขณะเดียวกัน เหล่าเอลฟ์ผู้บูชา ลูนาเร็ธ ก็พัฒนาคำสอนแห่งรัตติกาลใหม่ แต่การแตกแขนงของพวกเขามีเพียงสองลัทธิใหญ่ สองเงาแห่งจันทรา ที่งามต่างกันดั่งข้างขึ้นและข้างแรม

1. ลัทธิแสงดาว (Silvarin)

สายนี้ยึดเสรีภาพเป็นหัวใจ แต่ไม่ละทิ้งความรับผิดชอบ พวกเขาเชื่อว่าแม้เสรีต้องมีขอบเขต เพื่อป้องกันการใช้ศาสตร์ต้องห้ามอันทำลายสมดุล จึงสร้างกฎกว้างๆไว้คอยยับยั้งผู้ลุ่มหลงในพลังมืด เอลฟ์แห่งแสงดาวมักบูชาเทพทุกองค์ ไม่ว่าจะเป็นสุริยะ จันทรา หรือเทพธาตุทั้งสี่ แต่ความศรัทธาของแต่ละคนไม่เหมือนกัน จึงยากจะจำแนกแนวคิดให้ชัดเจน พวกเขาเป็นผู้แสวงหาทางสายกลางระหว่างอิสระและระเบียบ เหมือนแสงดาวที่งามที่สุดยามอยู่เคียงจันทร์

2. ลัทธิใต้เงาจันทร์ (Nómelómë)

สายนี้ดำดิ่งสู่ห้วงมืดของความรู้และพลังต้องห้าม พวกเขาเชื่อว่ามีกฎเพียงหนึ่งเดียวคือ กฎของธรรมชาติ สิ่งใดฝืนธรรมชาติย่อมจะพังพินาศ ส่วนคุณธรรมและกฎที่ถูกเอลฟ์สร้างขึ้นนั้น เป็นเพียงภาพลวงเพื่ออยู่ร่วมกันเท่านั้น ในสายตาพวกเขา “ความดี” มิใช่คุณค่า หากเป็นเพียงข้อตกลง บางคนถึงกับยึดคติว่า “ธรรมชาติกำหนดให้ ผู้อ่อนแอต้องแพ้พ่าย ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นที่อยู่รอด”
จึงไม่ลังเลที่จะใช้ผู้อื่นเป็นเครื่องมือเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ปรารถนา เอลฟ์ลัทธินี้จึงมักเป็นที่หวาดกลัวและหวาดระแวงของเผ่าพันธุ์อื่น ดุจจันทร์เสี้ยวข้างแรมที่สวยงามแต่มีด้านของเงามืดอันน่ากลัวจนจิตสะท้าน

เอลฟ์ยุคที่สาม เพราะผ่านหายนะมาสองครา พวกเขาเรียนรู้ว่าจะต้องระมัดระวังการใช้ชีวิตให้มากกว่าเดิม และต้องเข้าใจสัจธรรมของโลกให้มากขึ้น โลกเทอร์ร่าจึงกลับมาหมุนต่ออีกครั้ง ภายใต้แสงอาทิตย์ที่นุ่มนวล และเงาจันทร์ที่อบอุ่น เป็นกาลสมัยที่เอลฟ์เริ่มเข้าใจว่า

“แสงที่แท้จริง มิใช่สิ่งที่สว่างที่สุด แต่คือแสงที่ยอมรับเงาของตน”
ภาพประจำตัวสมาชิก
เซนต์ แมกนัส
0
 
โพสต์: 1413
Cash on hand: 333.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: +เรื่องย่อ Epi 3 Lost Avalon, the Fallen of the Elf +

โพสต์โดย เซนต์ แมกนัส เมื่อ อาทิตย์ พ.ย. 09, 2025 9:02 pm

เมื่อมนุษย์ถือกำเนิดขึ้น
(The Birth of Mankind)

สามหมื่นปีหลังจากยุคแห่งเอลฟ์อันรุ่งโรจน์ โลกได้ต้อนรับเผ่าพันธุ์ใหม่ สิ่งมีชีวิตที่ถือกำเนิดจากปรีชาญาณแห่งสรวงสวรรค์แต่ร่วงหล่นสู่ปฐพี

พวกเขาได้รับการบอกเล่าว่า มนุษย์คู่แรกเคยเป็นหนึ่งเดียวกันในสวรรค์ งดงาม เปี่ยมคุณธรรม และสว่างกว่าแสงใด ๆ จนกระทั่งเขาละเมิดบัญชาแห่งเบื้องบน กินผลไม้แห่ง อิกดราซิล ต้นไม้ยักษ์ที่แทงยอดถึงฟากฟ้า ผลแห่งโลกที่ห้ามชาวสวรรค์ผู้ใดแตะต้อง เพราะการกระทำนั้น พวกเขาจึงตกลงมาสู่แดนดิน ถูกฉีกแยกออกจากกันเป็นชายและหญิง เป็นสิ่งมีชีวิตของโลก เป็นร่างที่บิดเบี้ยวจากเดิม อ่อนแอ เปราะบาง และเต็มไปด้วยตัณหา ทรุดโทรม เสื่อมจากสง่าราศีแห่งชาวสวรรค์

พวกเขากลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่ตายได้ เหมือนสรรพสัตว์ทั้งหลายที่เกิดก่อนหน้า และจากนั้น โลกจึงได้รู้จักคำว่า “มนุษย์”

มนุษย์ในสายตาแห่งเอลฟ์
(Man in the Eyes of the Elves)

เมื่อเหล่าเอลฟ์ผู้สูงศักดิ์ได้เห็นสิ่งมีชีวิตใหม่นี้ พวกเขาเต็มไปด้วยความฉงนและเวทนา
“นี่หรือคือสิ่งสร้างที่เทพเจ้าทรงพยากรณ์ไว้ ว่าจะเป็นเผ่าพันธุ์ที่สูงส่งกว่าเรา?”
ในสายตาของเอลฟ์ มนุษย์นั้นบกพร่องในทุกด้าน ทั้งปัญญา ศีลธรรม และร่างกาย
แต่ถึงกระนั้น เทพเจ้ากลับมอบประกายแห่งสวรรค์ไว้ในดวงตาของพวกเขา ประกายแห่งความหวังที่ไม่เคยมีวันดับ

ผู้พยากรณ์แห่งเอลฟ์ได้รับนิมิตเตือนจากเทพว่า

“จงอย่าเข้าใกล้สิ่งมีชีวิตนี้ เพราะพวกเขาลงมาก่อนกาลเวลา
ความบกพร่องที่เกิดมา จะนำภัยพิบัติสู่พงศ์พันธุ์ของพวกเจ้า
จงเฝ้ามอง เหล่าผู้โง่เขลา แต่พวกเจ้าอย่าเข้ายุ่งเกี่ยว”

เอลฟ์ทั้งหลายยึดคำเตือนนั้นไว้เป็นกฎแห่งสวรรค์ และปลีกตนจากมนุษย์เป็นเวลาหลายพันปี แต่เมื่อหมื่นปีผ่านไป ความอยากรู้ในหัวใจผู้ไม่รู้จักตายก็เริ่มก่อตัว

เอลฟ์บางกลุ่ม โดยเฉพาะผู้สังกัด สำนักแสงอัสดง เริ่มสนใจในเผ่าพันธุ์ที่เติบโตรวดเร็วราวเปลวเพลิงนั้น พวกเขาเห็นมนุษย์ที่แม้เกิดมาชีวิตสั้นนัก แต่เรียนรู้ เติบโต และส่งต่อปัญญาจากรุ่นสู่รุ่นอย่างน่าทึ่ง ในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วอายุคน มนุษย์สร้างเครื่องมือและศิลปะที่เปลี่ยนโลกได้ ขณะที่เอลฟ์ผู้เป็นอมตะกลับย่ำอยู่กับที่ในความสงบอันแสนยาวนาน ชีวิตอันแสนสั้นของพวกเขา ทำให้พวกเขากระตือรือร้นที่จะพัฒนาตนเองก่อนจะตายไป ต่างจากพวกเอลฟ์ที่มีชีวิตอมตะ และรู้สึกมีความสุขดีอยู่แล้ว จึงไม่มีแรงบันดาลใจว่าจำเป็นต้องพัฒนาเปลี่ยนแปลงอะไร เช่นพวกเอลฟ์บางส่วนอยู่มาหลายพันปีโดยไม่เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตเลย

เอลฟ์บางส่วนจึงเริ่มลอบติดต่อกับมนุษย์ บางครั้งเพื่อศึกษา บางครั้งเพื่อสอน และบางครั้ง เพื่อค้นหาความหมายของชีวิตที่เคยลืมไปว่าตนยังมี มนุษย์บางคนนั้นจึงเข้าใจผิดว่าเอลฟ์เหล่านั้นเป็นเทพเจ้า ด้วยงามเกินมนุษย์ ทั้งอมตะชีวิต และเรืองรองเหมือนแสงดาว

เอลฟ์บางพวกประหลาดใจต่ออีกสิ่งหนึ่ง การให้กำเนิดชีวิตใหม่อย่างรวดเร็วของมนุษย์ เพราะหลังการล่มสลายครั้งแรก ที่เอลฟ์มีแต่การเกิดไม่มีการตาย จนโลกเกือบล่มสลาย เอลฟ์ยุคที่สองจึงมีกฎระเบียบร่วมกันที่ตราเป็นกฎธรรมชาติของเอลฟ์ เหล่าเอลฟ์ได้รับบัญชาจากเทพในการ ยับยั้ง จำกัดการเกิด เพื่อรักษาสมดุลของโลก ทารกเอลฟ์จะเกิดใหม่ได้ เมื่อมีเอลฟ์สิ้นชีพเท่านั้น การตั้งครรภ์จึงจะเกิดขึ้นในหมู่พวกเขา

กฎนั้นทำให้โลกสงบ แต่การได้เห็นความรักของมนุษย์ สิ่งมีชีวิตที่คล้ายพวกตน ก็ทำให้หัวใจของเอลฟ์กลับเศร้าลง เมื่อพวกเขามองเห็นครอบครัวมนุษย์ที่อบอุ่น เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะของลูกหลาน ความรู้สึกบางอย่างก็ผุดขึ้นในใจ ความโหยหาในอดีตอันงดงามที่พวกเขาเคยมี เอลฟ์บางตนถึงกับอิจฉาชีวิตมนุษย์ เพราะแม้ชีวิตจะแสนสั้น และยังมีทั้งสุขและทุกข์ แต่เต็มไปด้วยความงดงาม ของชีวิต ความรัก และการจากลา

แต่ในขณะที่เอลฟ์บางพวกชื่นชม บางพวกกลับมองมนุษย์ในมุมที่มืดมิดกว่านั้น เหล่าผู้เดินใน ลัทธิใต้เงาจันทร์ เห็นในมนุษย์เพียง “วัตถุดิบแห่งพลัง” พวกเขาเชื่อว่าจิตวิญญาณของมนุษย์ยังคงเศษเสี้ยวของรัศมีสวรรค์อยู่ และนั่นทำให้เลือด เนื้อ และจิตของมนุษย์ทรงพลังยิ่งกว่าเครื่องบูชาทุกชนิด

มีข่าวลือในหมู่เอลฟ์ว่า มีการลักพามนุษย์ไปใช้ในพิธีกรรมต้องห้าม การสร้างอาคมและอาวุธ จากการสังเวยชีวิตของสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญา สิ่งนี้เป็นบาปใหญ่ยิ่งนัก และกลายเป็นเงามืดที่แผ่คลุมระหว่างสองเผ่าพันธุ์ แม้โทษจะมหันต์ แต่เชื่อกันว่าอาจมีการลักลอบกระทำการอยู่

แล้วการเข้าคบหามนุษย์ก็เริ่มทวีขึ้นในหมู่พวกเอลฟ์ จนเกิดสิ่งที่สั่นสะเทือนกฎธรรมชาติของทั้งสองเผ่าพันธ์มากที่สุด คือ
ความรักระหว่างเอลฟ์กับมนุษย์
ภาพประจำตัวสมาชิก
เซนต์ แมกนัส
0
 
โพสต์: 1413
Cash on hand: 333.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: +เรื่องย่อ Epi 3 Lost Avalon, the Fallen of the Elf +

โพสต์โดย เซนต์ แมกนัส เมื่อ อาทิตย์ พ.ย. 09, 2025 9:48 pm

กฎต้องห้ามระหว่างเอลฟ์กับมนุษย์
(The Forbidden Law of Love Between Elf and Man)

ในยุคแห่งสมดุลนั้น เหล่าทวยเทพได้เคยเตือนไว้ไว้ว่า “เอลฟ์ห้ามยุ่งเกี่ยวกับมนุษย์”

แต่เมื่อกาลผ่านไป หัวใจของชีวิตก็ไม่ยอมจำนนต่อคำสั่งแห่งสวรรค์ การลักลอบคบหาและความรักต้องห้ามเริ่มผลิบานในเงามืด

แม้ความเจ็บปวดคือสิ่งที่รออยู่ในตัวมันเอง เพราะทั้งสองเผ่าพันธุ์ถือกำเนิดจากธาตุแห่งโลกที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง
เอลฟ์คือบุตรแห่งนิรันดร์ ส่วนมนุษย์คือบุตรแห่งเวลา

กฎโบราณที่จำกัดการให้กำเนิดของเผ่าพันธุ์เอลฟ์ มิได้ครอบคลุมถึงการร่วมสายเลือดกับเผ่าอื่น และนั่นเองคือจุดที่ฟ้าสวรรค์ไม่ทันได้เตรียมรับ การถือกำเนิดของ เหล่าลูกครึ่งเอลฟ์และมนุษย์ และเมื่อผลแห่งรักนั้นให้กำเนิดชีวิตใหม่ เทพเจ้าทั้งหลายจึงไม่อาจนิ่งเฉยได้อีก

Love of Man and Elf
เมื่อลูกเกิดจากมนุษย์ชายกับเอลฟ์หญิง


บุตรที่ถือกำเนิดจากความรักเช่นนี้ มักมีรูปลักษณ์งดงามดั่งเอลฟ์ หูเรียวแหลม ดวงตาสุกสว่าง แต่ในร่างนั้นแฝงไว้ด้วย “ตราประทับแห่งความเสื่อม” ความไม่สมบูรณ์ที่เป็นดังคำเตือนของสวรรค์

บางคนร่างกายอ่อนแอ เจ็บป่วยตั้งแต่เยาว์วัย บางคนบอดใบ้ หรือหูไม่ได้ยินเสียงแห่งโลกอย่างสมบูรณ์ และไม่ว่าพวกเขาจะงดงามเพียงใด ก็ไม่อาจเป็นอมตะเหมือนเอลฟ์บริสุทธิ์ได้ บุตรเหล่านี้มีอายุไม่เกินสี่พันปี ยาวนานในสายตามนุษย์ แต่สั้นนักในสายตาแห่งนิรันดร์

ในสังคมเอลฟ์ บุตรเช่นนี้มักถูกมองด้วยความเวทนา หรือแม้แต่รังเกียจ เพราะถือเป็นบาดแผลของเผ่าพันธุ์ที่สมบูรณ์แบบ


Love of Elf and Woman
เมื่อลูกเกิดจากเอลฟ์ชายกับหญิงมนุษย์


บุตรจากสายเลือดนี้มักมีรูปลักษณ์ใกล้เคียงมนุษย์ แต่ในดวงตาจะมีประกายเรืองแสงอยู่เสมอ พวกเขามีอายุยืนยาวกว่ามนุษย์ทั่วไป บางคนมีชีวิตถึงสี่ร้อยปี แต่สุดท้ายก็มิอาจหนีพ้นกฎแห่งความตาย

ทว่านอกจากอายุขัยที่ยาวนานกว่า บุตรเหล่านี้ยังมักเปี่ยมด้วยพลังและปัญญาเหนือกว่ามนุษย์ทั่วไป เป็นผู้มีพรสวรรค์ที่สามารถเปลี่ยนแปลงโลกมนุษย์ได้ ในบันทึกของมนุษย์ยุคนั้น มีการกล่าวถึงวีรบุรุษ กษัตริย์ และนักพยากรณ์ผู้ยิ่งใหญ่ ที่แท้แล้วคือบุตรของเอลฟ์

อย่างไรก็ดี ความวิเศษนี้จะค่อย ๆ จางลงในรุ่นถัดมา ลูกหลานของพวกเขามีอายุสั้นลง จากสองร้อยปี เหลือเพียงร้อยกว่าปี และเมื่อผ่านไปสามรุ่น สายเลือดเอลฟ์ก็จะเลือนหายไปจากมนุษย์สายตระกูลนั้นโดยสิ้นเชิง

บุตรแห่งสองโลก
(Children of Two Worlds)


ในยุคต่อมาของเทอร์ร่า มีลูกครึ่งเอลฟ์และมนุษย์จำนวนหนึ่งที่เปล่งประกายโดดเด่น พวกเขาคือ “บุตรแห่งเทพและโลก” ผู้ถูกลิขิตให้เป็นทั้งคำเตือนและปาฏิหาริย์ มีเรื่องราวของสองผู้ยิ่งใหญ่ที่เป็นตัวอย่างในเรื่องนี้

เฮลวารีออน Haelvarion (ความหมาย: “ผู้ปลดปล่อยแสงศักดิ์สิทธิ์”) (hael = ศักดิ์สิทธิ์, varion = ผู้ปลดปล่อย))

บุตรชายของ อลูนารา (Elunara แสงจันทร์ผู้พิทักษ์) ธิดาแห่งเอลฟ์เจ้าผู้ครองป่าธาเลนีเอลThaleniel ผู้พบรัก เคลอน Kaelorn นักพจญภัยหนุ่มผู้หลงเข้ามาในป่าลึกลับ และพบเอลฟ์สาวผู้งดงามราวแสงดาวบนท้องฟ้า อลูนารา ผู้ยึดลัทธิแห่งแสงดาว รู้ดีว่าเธอจะต้องพบความทุกข์แห่งการพรากจากคนรักในเวลาไม่นาน ความรักของทั้งคู่เกิดขึ้นท่ามกลางคำเตือนของสวรรค์ อลูนารารู้ดีว่าระหว่างเธอกับมนุษย์นั้นมีเพียง “กาลเวลาอันสั้น” เป็นของขวัญ แต่เธอยินดีโอบรับมันด้วยหัวใจที่ไม่กลัวความสูญเสีย

“เพราะแม้แสงดาวจะดับในรุ่งอรุณ แต่มันก็ได้ส่องโลกก่อนจะหายไป”

เธอคลอดบุตรชาย ที่สง่างาม แต่เขามาพร้อมความพิการไม่อาจเปล่งเสียงพูดได้อย่างปกติ ด้วยเสียงเขาเบากว่าเสียงกระซิบ แต่เขากลับกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญการสื่อสารด้วยจิตกับสรรพสัตว์ และคือเอลฟ์คนแรกในโลกเทอร์ร่า ที่เลี้ยงมังกรขาวจนรอดชีวิต และอยู่ด้วยกันพูกพันจิต จนมังกรของเขา โซราธีเอล (Sorathiel) กลายเป็นมังกรที่อายุยืนยาวตามเจ้านายของมัน มังกรพันปีที่ร่างใหญ่ดังขุนเขา ผู้สื่อจิตกับนายของมันโดยไม่ต้องเอื้อนเอ่ยวาจา

วาเรธารีออน Varethion (ความหมาย: “พลังแห่งสายฟ้า”) (varë (ฟ้าแลบ) + tharion (พลัง / บุตรแห่ง))

บุตรชายของ Calenor Thirandil (คาเลนอร์ ธิรันดิล) (Calenor “แสงเขียวแห่งพฤกษา”,Thirandil “ผู้รักษาคำมั่นแห่งจันทรา”) หัวหน้าห้องเครื่องแห่งวิหารเอลฟ์รุ่งอรุณตะวันออก ผู้พบรักกับสาวชาวบ้านธรรมดาอลิรา เวนน์ (Alira Venn) เธอเป็นหญิงมนุษย์ผู้เรียบง่ายจากหมู่บ้านชายป่า ผู้มีจิตใจบริสุทธิ์ดั่งหยาดน้ำค้าง และไม่เคยรู้ว่าเอลฟ์ที่ตนรักจะต้องสูญสิ้นนิรันดร์ของตนเพราะเธอ ชะตากรรมแห่งเวลาไม่เมตตา เธอแก่ชราและตายไปในขณะที่เขายังคงหนุ่มนิรันดร์ เขาจึงเลือกขอพรการจบชีวิตตนเองใต้จันทร์เต็มดวง เพื่อให้วิญญาณได้ตามเธอไปในภพหน้า แม้ทนรอทรมานอีก1ปี กว่าจะถึงวันนั้น

“แม้ความตายพรากข้าไปจากแสงอรุณ แต่ข้ายังอยู่ใต้จันทร์เดียวกับเธอ”

บุตรของพวกเขา วาเรธารีออน เติบโตเป็นอัจฉริยะดาบตั้งแต่วัยเยาว์ เขาขึ้นสู่ตำแหน่งขุนนางในวัยเพียงสิบสองปี
และในวัยสิบหก เขาได้กอบกู้แผ่นดินจากเหล่าอสูร จนได้อภิเษกสมรสกับเจ้าหญิง แลได้ขึ้นเป็นกษัตริย์แห่งนคร วินด์เวลลิร (Vindvellir) เขาครองราชย์อย่างสงบยาวนานถึงสองร้อยแปดสิบหกปี ก่อนจะสละบัลลังก์ เดินทางข้ามทะเลเพื่อกลับสู่ดินแดนแห่งบิดา เพื่อตายที่นั่นและจะได้ฝังร่างเคียงข้างบิดาและมารดา

คำพิพากษาแห่งไฟศักดิ์สิทธิ์
(The Judgement of the Sacred Flame)


แต่กระนั้นก็ไม่ใช่สาเหตุที่เรื่องเหล่านี้จะถูกอนุญาตต่อไป เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นคือก็คือการเสียสมดุลที่กระทบทั้งเอลฟ์และมนุษย์ นั่นก็คือเหตุที่ทวยเทพยื่นมือเข้ามาหยุดยั้งสิ่งนี้

หลังเกิดเหตุการฆ่าล้างเมืองของลูกครึ่งเอลฟ์ผู้ทรงพลังและหวังครองเมืองในดินแดนมนุษย์ จนเกิดสงครามผู้คนล้มตายมากมาย ต่อมาคิดเห่อเหิมว่าตนเหนือใครในหล้า บุกเข้าหมายชิงดินแดนเอลฟ์ ในท้ายที่สุด บิดาของเขาคือผู้ที่ต้องสังหารบุตรครึ่งมนุษย์ของตนเองเพื่อปราบโอหัง เอลฟ์ผู้เคยสาบานต่อแสงอรุณว่าจะปกป้องชีวิตทุกชีวิต จำต้องชักดาบใส่เลือดเนื้อของตนเอง โศกนาฎกรรมใหญ่ที่ทั้งเจ็บปวด และน่าอัปยศ

หลังการตายของทรราชครึ่งเอลฟ์ในสงครามที่ตนเองก่อ ทวยเทพทั้งของมนุษย์และเอลฟ์ จึงเห็นตรงกันว่า ควรห้ามการมีลูกของเอลฟ์กับมนุษย์อีกนับแต่นั้นเป็นต้นมา จึงตรา “กฎแห่งไฟศักดิ์สิทธิ์” หากเอลฟ์กับมนุษย์รักกัน ฝ่ายสตรีต้อง อาบอัคนีแห่งเอลฟ์
เปลวเพลิงแห่งสุริยะเทพนี้มีคุณสมบัติอันโหดร้ายแต่ศักดิ์สิทธิ์ มันจะเผาผลาญพลังแห่งการให้กำเนิดในร่างของสตรีนั้น
เพื่อไม่ให้เธอสามารถมีบุตรได้อีกตลอดกาล หากละเมิดลักลอบมีลูก เทพีเนเมซิส จะสังหารทารกลูกครึ่งเอลฟ์ในครรภ์มารดา ก่อนจะเกิดมา

ตั้งแต่นั้นมาไม่มีเสียงร้องแรกเกิดของลูกครึ่งเอลฟ์กับมนุษย์ในโลกเทอร์ร่าอีกเลย
ภาพประจำตัวสมาชิก
เซนต์ แมกนัส
0
 
โพสต์: 1413
Cash on hand: 333.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)


ย้อนกลับไปยัง Summoner Novel

ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน