
ดวงอาทิตย์ตื่นจากการหลับใหลพร้อมเสียงดนตรีบรรเลงทั่วเมืองหลวงของซาโลม ไม่มีแห่งหนใดเลยที่ความชื่นชมปิติยินดีเว้นว่างไม่เข้าครอบครอง ด้วยเหตุว่างานอภิเษกสมรสระหว่างกษัตริย์อิสฮานกับว่าที่ราชินีซูไลก้าจะหยุดยั้งสงคราม นำความสงบสุขมั่นคงถาวรมาสู่ซาโลมและลาซาล
อิสฮาน (Ishan, the Prophet) ในชุดอภิเษกสมรสเกาะราวระเบียงวังมองพ้นกำแพงเมืองที่มีเพียงทะเลทรายสุดตา สายตาเลื่อนลอยมองตรงไปยังทิศทางที่ฟูดินันตั้งอยู่ เขาได้แต่ถอนใจกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น งานแต่งงานเพื่อการเมือง
อิสฮานไม่ได้รักซูไลก้าเลยหากรักในความหมายนี้คือสภาพสามีภรรยา แต่ด้วยประชาชนเบื่อหน่ายและเจ็บปวดกับสงครามมามากพอแล้ว เขาจะใจร้ายพอให้ความรักของตนยื้อการสู้รบต่อไปได้อย่างไรกัน ภายหลังสงคราม 4 อาณาจักรจบลงแคว้นลาซาลไม่ยอมเป็นเมืองขึ้นของซาโลม มิหนำซ้ำด้วยภูมิประเทศยังเปรียบเสมือนหอกข้างแคร่ที่น่าหวาดหวั่น การแต่งงานกับซูไลก้าเป็นทางแก้ปัญหาที่เร็วที่สุด
แม้จะต้องลดหัวใจตัวเองลงไปรองรับน้ำหนักของทั้ง 2 อาณาจักรก็ตาม เขายกมือขึ้นทาบอก ที่ที่หัวใจของเขาเคยอยู่ที่นั่น ก่อนจะรำพึงรำพันออกมาด้วยความเศร้า
“แท้ที่จริงชีวิตของข้า ถูกสาปแช่งมาตั้งแต่เกิด ไม่ว่าจะพยายามลบล้างเท่าใด บาปกรรมแห่งการพลัดพรากก็ยังย้อนกลับมาสร้างความพินาศในชีวิตครั้งแล้วครั้งเล่า ทำไมข้าต้องเป็นดวงอาทิตย์ที่เผาไหม้ตัวเองเพื่อเป็นแสงสว่างให้คนอื่น ในเมื่อไฟแห่งความคลั่งคิดถึง มันเผาทรมานดวงใจนี้ราวกับเพลิงอันเกรี้ยวกราดจากห้วงนรก และการคาดคอยอันโหดร้าย ก็ฉีกทึ้งทรมานวิญญาณนี้จนย่อยยับด้วยคมมีดอันเย็นชาแห่งความโหยหาอาวรณ์ที่แสนอำมหิตโหดร้าย การที่ชีวิตยังไม่แตกดับ จึงกลายเป็นเพียงการกรีดลึกรอยแผลใหม่ลงในหัวใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า… ฉันคิดถึงเธอเหลือเกินวานาอัน”
องค์หญิงซูไลก้า (Zuleika, the Lazal Princess) อยู่ในวังอีกหลังกำลังแต่งองค์ด้วยเครื่องประดับที่งามอลังการที่สุด
“ทรงคิดอะไรอยู่หรือเพคะองค์หญิงซูไลก้า”
ว่าที่มารดาแห่งแผ่นดินทะเลทรายหันตามเสียงเรียกของนาดา รอยยิ้มอิ่มเอมฉาบอยู่บนเรียวปากงาม นางกำนัลชั้นเอกจากราชสำนักลาซาลที่ถูกส่งมาดูแลเธอ นาดายังมีหน้าที่ช่วยคัดเลือกข้าราชบริพารจากลาซาลเข้ามาถวายการดูแลองค์หญิงอีกด้วย
“นาดา เจ้าคิดว่าเวลา 7 ปีมากพอจะเปลี่ยนใจชายสักคนที่มีคนรักอยู่แล้วให้มารักเราได้ไหม?”
“เรื่องนี้อาจเกินการคาดคะเนด้วยสติปัญญาต่ำต้อยของหม่อมฉันเพคะ เว้นแต่จะได้ลองดูก่อน”
ซูไลก้าเงียบไป แต่ครั้นแล้วก็ลุกขึ้นด้วยท่วงท่าดั่งนางพญาหงส์ รอยยิ้มที่เปี่ยมความมุ่งมั่นและมั่นใจ
นางกำนัลยิ้มรับพลางโค้งคำนับรับคำเจ้าเหนือหัว ไม่ว่าจะพร้อมหรือไม่ ชีวิตก็ต้องก้าวไปสู่การผจญภัยครั้งใหม่
เสียงร้องสรรเสริญกึกก้องเมื่อขบวนอภิเษกได้เคลื่อนผ่านเพื่อให้ราษฎรได้ชมพระบารมี กษัตริย์อิสฮานและราชินีซูไลก้าโบกมือให้ประชาชนด้วยความชื่นบานหทัย แต่ขณะเดียวกันทหารองครักษ์ร่วมของ 2 อาณาจักรนั้นกลับมีสีหน้าเคร่งเครียดผิดปกติ โดยเฉพาะหัวหน้าองครักษ์ตามจุดต่างๆ
...“เราไม่รู้ว่าพวกที่จ้องปลงพระชนม์เป็นใคร ต้องการอะไร บางทีพวกมันอาจแฝงอยู่ในฝูงชนก็ได้ แต่ที่แน่ๆ ให้จอมเวทย์ตามขบวนเยอะๆ เตรียมกางบาเรียให้พร้อมหากมีเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้น”
นายทหารช่วยกันระดมความคิดหาทางคุ้มกัน 2 พระองค์ให้ดีที่สุด นายทหารลาซาลคนหนึ่งเสนอขึ้นมา
“แล้วหน้าขบวนล่ะ องค์หญิงระบุเองว่าต้องการให้มีทหารน้อยที่สุดเพื่อประชาชนจะได้ชมพระพักตร์เต็มที่แต่การป้องกันย่อมอ่อนแอที่สุดด้วย เช่นนั้นแล้วทหารลาซาลขออาสาติดตามอารักขาเอง”...
ยิ่งขบวนอภิเษกใกล้ถึงพระราชวังความกังวลของทหารก็ผ่อนคลายลงแทบหมดสิ้น จนเมื่อใกล้ถึงประตูพระราชวังจู่ๆ ก็มีคนสวมผ้าคลุมสีน้ำตาลวิ่งมาขวางหน้าขบวน ลูกไฟขนาดยักษ์ถูกร่ายโจมตีในเวลาอันสั้นเข้าใส่อิสฮาน แต่จอมเวทย์เพลิงชั้นสูงได้กางม่านไฟทรงอานุภาพป้องกัน โดยราชาของตนไม่ได้รับอันตรายแม้แต่น้อย
แต่ช่วงที่ทุกคนสาละวนปกป้องอิสฮานนั้นคนชุดน้ำตาลอีกคนกลับโผล่มาข้างหลังซูไลก้า ลูกไฟทมิฬอีกลูกพุ่งสู่พระพักตร์หวังปลงพระชนม์ ใกล้จนแม้จอมเวทย์ชั้นยอดที่อยู่ใกล้ก็ช่วยไม่ทัน...
“กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดด!”
เสียงร้องโหยหวนด้วยความทรมานดังขึ้น นาดานางกำนัลคนสนิทกระโดดเข้าปกป้องนายเหนือหัว เพลิงนั้นเผาผลาญใบหน้าผุดผ่องงดงาม นักเวทย์รีบร่ายมนต์แก้ทันทีแต่นางนั้นกลับลงไปดิ้นทุรนทุรายกุมใบหน้าแสบพองร้อนบนพื้น ขณะที่ซูไลก้าที่กำลังตกใจก็โผเข้ามาหลบอยู่ในอ้อมกอดอันปลอดภัยของอิสฮาน...