Sub-Turn 31 Nightmare of Pandora เจ้าสาวแห่งฝันร้ายปรากฏกาย
………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………….
ภายในห้องพักของ X Sport Club โคทาโร่ ยังคงนอนหมดสติอยู่บนเตียงในห้องพัก โดยมีกลุ่มของ เกร ทั้ง 4 คน
เฝ้าจับตาดูอยู่ไม่ให้ห่าง
“ เจ้าหนูคนนี้น่ะเหรอ เบริอัล… ”
วาการุรุ เปรยสายตาทึ่งๆ ของเขานั้นจดจ้อง อยู่ที่ โคทาโร่ ไม่วางตา
“ โคทาโร่ เซนาคาว่า บุตรชายเพียงคนเดียวของ ยามาโมโตะ เซนาคาว่า อดีตประธานสภา
สหพันธ์ปฏิรูปมนุษยชาติ URH นอกจากนี้ยังมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับ ธนัท ด้วย ”
เกร กล่าว รายละเอียดทั้งหมดที่ เขาสืบรู้มา
“ ถ้างั้นก็กำไรสองต่อเลยน่ะสิฮ้า~~ เป็นทั้งบุตรที่อยู่เหนือมวลหมู่พระเจ้าเหมือนกับ เกร แล้วยังมีผลกับ ทานาทอสอีกด้วย
ไม่สิ ถ้าเลี้ยงดีๆล่ะก็ เราอาจจะได้ สหพันธ์ปฏิรูปมุนษย์ มาอยู่ในกำมือด้วยก็ได้ ”
การุรุ พูดและยื่นเข้าไปลูบเอาเส้นผมที่เลื่อนมาปิดหน้าผากอง โคทาโร่ ออก
“ เป็นตัวหมากที่สำคัญน่าดู….แต่ว่าจากนิสัยแล้ว ฉันไม่คิดว่าเจ้าหนูจะยอมทำตามที่พวกเราบอกหรอกนะ ”
เทนโต แย้ง
“ ถ้างั้นก็ทรมานซะเลยดีไหม SM นี่ของถนัดฉันเลยล่ะ อ๊าง~~~ ”
การุรุ เสนอตัว
“ แกน่ะหุบปากไปเลยเจ้าหมาหื่นเอ้ย! อย่างเจ้าหนูนี่ถ้าได้คุยกันอย่างเปิดอกล่ะก็ต้องยอมเข้าใจอยู่แล้ว ”
วาการุรุ แทรก
“ อุฮุ พูดคุยกันอย่างเปิดอกงั้นเหรอ วาการุรุคุง~~ จะอ่อนโลกไปถึงกันเนี่ย มันไม่มีหรอกวิถีทางที่สว่างสดใสแบบนั้นน่ะ
โลกนี้คือการประชันกันระหว่างสีดำและสีขาว หากไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็ต้องเอาด้วยกล อีกอย่าง เด็กน่ะปลูกฝังง่าย อายุแค่ 14
นี่ยังไม่ถือว่าโตมากก็จริง แต่ก็เริ่มมีความคิดและอุดมการณ์เป็นของตัวเองอยู่แล้ว ยิ่งเป็นคนที่ความสำคัญแบบนี้
คิดหรือว่า แค่อธิบายไปตรงๆจะได้ผลน่ะ อุบ… ”
การุรุ ร่ายยาวถึงเหตุผลต่างๆนานา จน วาการุรุ ต้องใช้มืออุดปากเสีย ก่อนที่จะจ้อมากไปกว่า
“ สรุปสั้นๆความเห็นของแกมันก็ เลี้ยงต้อยดีๆนี่แหละ เป็นสุนัขเฝ้าประตูนรกดีๆไม่เอาอยากจะลงนรกเองรึไงวะ ”
วาการุรุ สบถ
“ ว่าแต่นายเถอะ เกร ยังไม่ออกความเห็นเลยไม่ใช่รึไงว่าจะเอายังไงต่อน่ะ ”
เทนโตะ หันมาขอความคิดเห็นจาก เกร ที่เป็นผู้พา โคทาโร่ มาบ้าง
“ ตอนนี้ ฉันยังไม่ตัดสินใจอะไรทั้งนั้นล่ะ จนกว่าจะผ่านการทดสอบ ”
เกร กล่าว คำพูดของเขา ทำให้ วาการุรุ กับ การุรุ ที่กำลังเถียงกันอยู่ หันมาสนใจทันควัน
“ การทดสอบที่ว่านี่ หรือว่า……เอาให้ไปแล้วงั้นเหรอ!? ”
วาการุรุ ถามเสียงรนขณะที่คนอื่นๆก็ทึ่งพอๆกันกับเขา
“ ใช่….เราจะตัดสินใจหลังจากที่โคทาโร่ รอดชีวิตจากการทดสอบของพระเจ้าผู้ไม่สิ้นสุดแล้ว ”
เกร ตอบเสียงเรียบอย่างเย็นชาไม่สนว่า โคทาโร่ จะตายเพราะการกระทำของเขาหรือไม่ก็ตาม
“ เกรคุง นี่ SM ตัวพ่อยิ่งกว่าเดี๊ยนอีกนะเนี่ย ”
“ นั่นดิ ”
การุรุ กับวาการุรุ หันมากระซิบกันเอง
“ ว่าอะไรนะได้ยินไม่ค่อยถนัด ” เกรเอ่ย
“ ป…เปล้า~~~ เปล่าไม่ได้พูดอะไรเลยจริงจริ๊ง~~ ”
ทั้งสองรีบแก้ตัวกันทันที แต่ เกรก็ไม่ได้คิดสนใจกับท่าทีของทั้งสองอยู่แล้ว
“ ว่าแต่เจอมั่งรึเปล่าข่าวที่ให้ช่วยหาน่ะ ”
เกรหันไปถาม เทนโตะ ที่ตอนนี้ หยิบ หนังสือพิมพ์ขึ้นมาจาก กองหนังสือพิมพ์บนโต๊ะและอ่านอย่างขะมักเขม้น
“ ข่าวเกี่ยวกับไฟไหม้ทั้งหมู่บ้าน นั่นไม่มีเขียนไว้เลยซัก กะฉบับ…ถ้าที่นายเล่ามาเป็นเรื่องจริง แสดงว่าพวก นั้นมันอิทธิพลถึงขนาดปิดกั้นข่าวสารและสื่อต่างๆได้แน่นอน ”
เทนโตะ กล่าวก่อนจะวางหนังสือพิมพ์ที่หยิบขึ้นมา ไล่หาเป็นเล่มสุดท้ายลงบนโต๊ะ ข่าวที่เกรต้องการจะให้หานั้น
ก็คือข่าวไฟไหม้หมู่บ้านที่ตั้งอยู่ตีนเขาที่เขาพาตัว โคทาโร่ มา หลังจากที่เอาชนะและทำให้ โคทาโร่ หมดสติแล้ว
ในระหว่างเดินทางกลับมานั้น หมู่บ้านที่อยู่ด้านล่างก็กลายเป็นเถ้าถ่านไปแล้ว ไม่มีใครหมู่บ้านรอดชีวิตมาเล่าเรื่องราวให้ได้เลยซักคนเดียว
……………………………………………………………………
ในช่วงเช้าของวันเดียวกันนี้เอง ธนัท กำลังเตรียมตัวจัดกระเป๋าก่อนไปโรงเรียน โดยที่ ลูเซีย ซึ่งพักอยู่หลังตู้เสื้อผ้า
ก็ลงไปรอที่โต๊ะอาหารก่อนเป็นที่เรียบร้อย
“ หนังสือ ทฤษฎีฟิสิกส์มนตราเบื้องต้นมันอยู่ไหนล่ะเนี่ย ”
ธนัท บ่นไปพลางขณะที่ความหาหนังสือเรียนในลิ้นชักโต๊ะ อย่างกระวนกระวาย
“ อ๊ะ! เจอแล้วอยู่นี่เอง ”
ธนัท หยิบเอา หนังสือเล่มหนา ออกจาก ลิ้นชักอย่างช้าๆเพื่อไม่ให้ ข้าวของในลิ้นชักกระฉอกตามออกมาด้วย
แต่ก็มี พวงกุญแจกระเด็นออกมา ดอกหนึ่งจนได้ ธนัท มองลูกกุญแจที่ติดอยู่กับพวงกุญแจที่กระเด็นออกมา
อยู่พักหนึ่ง ก่อนจะเก็บมันขึ้นมาใส่กระเป๋ากางเกง
“ วันนี้แวะไปดูหน่อยก็แล้วกัน ”
ธนัท พึมพำก่อนจะเลื่อนลิ้นชักปิดแล้ว ออกจากห้องเพื่อลงไปกินข้าวเช้า
…………………………
ที่โรงเรียน ธนัท รีบตรงมาที่ห้องชมรมทันที แต่เขากลับไม่เปิดประตูห้องเข้าไปทันทีอย่างที่เคย
หากแต่ เดินอ้อมไปยัง กระท่อมไม้เก่าๆ ที่ตั้งอยู่ด้านหลังของชมรมแทน
แล้วใช้กุญแจที่เอาจากลิ้นชักที่บ้านไขเปิดประตูกระท่อม ออกทันทีภายในนั้นมืดสนิท และเต็มไปด้วยข้าวของระเกะระกะ
อยู่เต็มห้อง ธนัท ค่อยๆย่างเท้าเข้าไปอย่างระมัดระวัง เพื่อไม่ให้เหยียบ ข้าวของที่วางระเกะระกะ อยู่บนพื้นเสียหาย
“ ไม่ได้เปิดมาเกือบ 2 ปีจะได้แล้วมั้งเนี่ย ตั้งกะมีเรื่องที่พี่ศรี หายตัวไปเราก็ทิ้งที่นี่ไปเลย ”
ธนัท พึมพำ ก่อนจะหยุดที่หน้าโต๊ะซึ่งตั้งอยู่กลางห้อง บนโต๊ะนั้นมี อัลบั้มรูปวางจับฝุ่นอยู่เล่มหนึ่ง เขาใช้มือปัดฝุ่นออก
จากปกอัลบั้ม เมื่อเปิดเล่มออก ข้างในเต็มไปด้วยรูปกิจกรรมอาสาต่างๆที่คอยไปช่วยผู้ประสบภัยและงานอาสาสมัคอื่นๆอีกมากมาย ซึ่งสมาชิกที่ไปปฏิบัติงานนั้น ก็คือ ตัวเขา อิส และ นักเรียนหญิงอีกคนที่มีหน้าตาคล้ายคลึงกับลูเซีย
“ 3ปีได้แล้วสินะ ตั้งแต่ตอนนั้นถ้าไม่เกิดเหตุขึ้นที่อัลวิส ซะก่อนล่ะก็… ”
ธนัท เปรยอย่างเศร้าๆ รูปถ่ายแต่ล่ะใบช่วยให้ระลึกถึงความทรงจำที่น่าปิติและน่าหดหู่ขึ้นมาพร้อมๆกัน
เสียงเพลงมาช โรงเรียนดังแว่วเข้ามาในตัวกระท่อม ซึ่งเป็นสัญญาณให้นักเรียนทุกคน เตรียมตัวไปเข้าแถวเคารพธงชาติ
ธนัท ปิดหนังสืออัลบั้มแล้วยัดมันลงใส่เป้ ก่อนจะรีบล็อกประตูกระท่อมและ ออกไปที่สนามทันที
……………..
ณ ราชอาณาจักรซึ่งอาคารบ้านเรืองถูกสร้างด้วยสถาปัตยกรรม ยุคกลางคล้ายยุโรป ชุมชมของราษฎรถูก
จัดวางไว้ล้อมรอบ เชิงเขาอันเป็นที่ตั้งของ พระราชวังอันยิ่งใหญ่ ราชอาณาจักรห่งนี้ถูกขนามนามว่า
นครแห่งสายลม ฟีเลเซีย อันเป็นราชอาณาจักรที่มีกองกำลังทหารอันเกรียงไกรและทรนงในศักดิ์ศรี
ทว่าในยามนี้ เป็นยามสงคราม ทั่วทั้งราชอาณาจักรกลายเป็นสมรภูมิ ความเดือดร้อนกระจายตัวไปทุกหย่อมหญ้า
ไกลออกไปจากตัวเมืองหลวงนั้น อันเป็นสถานที่ตั้งของ เมืองลูกอย่าง วอลเนีย ภายในตัวเมืองนั้นเสียหายอย่างหนัก
เพราะการโจมตี โดยทัพศัตรู นอกจากนี้ ยังมีทหารผีนรก(Necrotrooper)
เดินเพ่นพ่านกันอยู่เต็มเมือง ซึ่งเกลื่อนไปด้วยซากศพของชาวฟีเลเซียมากมายที่ถูกสังหาร
“ บัดซบ! นี่เราหลุดเข้ามาที่ เทอร่า ได้ยังไงกัน แถมยังมาโผล่กลางสนามรบอีก ”
โคทาโร่ สบถ โดยชำเลืองสายมองเหล่าทหารผีนรก ที่เดินเตร็ดเตร่ กันอยู่ด้านนอกตรอกซอยที่เขาวิ่งเข้ามาหลบ
[ในยุคสงคราม 4 ราชอาณาจักร(Dividing 4 Kingdom)กษัตริย์ ซาดิน ทรงยกทัพจาก ซาโลม กว่าแสนนายเข้ายึดตี
หัวเมืองของ ฟีเลเซีย เพื่อหมายจะยึดครองทรัพยากรของป่าฟูดินันที่ต่อมากลายเป็น ราชอาณาจักรฟูดินัน
การโจมตีของกองทัพซาโลมนั้น นอกจากทัพสัตว์และมนุษย์แล้ว ยังมีทัพทหารผีนรก ซึ่งเกิดจากไสยเวท ของ อุปราช บลาสเซจ อ้างอิงจาก Dividing 4 Kingdom บทที่ 25.]
“ ถ้ามีชุดไพ่กับ มาราคัส อยู่ล่ะก็พวกทหารผีนี่ก็ไม่เท่าไหร่หรอก… ”
โคทาโร่ เปรยตอนนี้เขาตัวเปล่าไม่มีทั้ง Note และ ชุดการ์ดที่จะเอาไว้ต่อกรกับเหล่า ทหารผีนรก ทำให้เขาแทบไปต่างไปจากมนุษย์ธรรมดาเดินดินเลยสำหรับในโลกที่ อสูรอัญเชิญ เป็นของจริงทั้งหมด
“ ว่ากันตามหลักแล้วเราไม่น่าจะมีตัวตนอยู่ในโลกแห่งนี้ แท้ๆ แต่ว่าสัมผัสแบบนี้มัน ”
โคทาโร่ คิด ความรู้สึกที่แปลกประหลาดกับสัมผัสรับรู้ของเขาที่สิ่งของและวัตถุต่างๆไปจนถึงอากาศนั้น
กลิ่นควันไฟ และกลิ่นเน่าฉุนจากพวกทหารผีนรกนั้น ทุกอย่างล้วนเหมือนจริง เสียจนไม่อาจแยกแยะได้
เป็นไปได้หรือที่ตัวเขาตอนนี้ได้หลุดเข้ามาอยู่ใน โลกเทอร่า อย่างสมบรูณ์ทั้งกายและใจ
“ ถ้ามีใครบางคนจับเราใส่เครื่องVR-Trans ย้ายส่งมาที่นี่ ก็จะมีแค่จิตของเราเท่านั้นที่อยู่ที่นี่จริงๆ เพราะงั้นถึงจะตายที่นี่ก็แค่ Game Over แล้วก็จะกลับสู่โลกแห่งความจริงได้ แต่เรากลับร็สึกว่าถ้าตายที่นี่ล่ะก็คงได้ตายจริงๆแน่ ทำไมกันนะ? ”
โคทาโร่ คิดอย่างฉงนจนใจ เพื่อหาคำตอบให้กับลางสังหรณ์ นี้ของเขา
“ หากเธอสิ้นชีวาลงที่นี่ ตัวเธอที่อยู่อีกโลกก็จะต้องตายไปด้วย.. ”
เสียงประหลาดซึ่งไม่คุ้นหูเขาเท่าไหร่นัก ดังก้องอยู่ในหัว ความสงสัยและสับสน ผลันผุดขึ้นมาในใจของเขา
แม้จะพยายามมองหาเท่าไหร่ ก็ไม่พบตัวเจ้าของเสียงหรือแม้แต่วี่แววใดๆเลย
“ จงไปยังที่ๆ ซึ่งแสงจากสวรรค์ส่องถึง….. ”
เสียงนั้นดังขึ้นอีกครั้ง ก่อนจะเงียบหายไป แม้จะยังคลางแคลงใจกับเสียงนั้น แต่ โคทาโร่ ก็ตัดสินใจทำตามที่เสียงนั้น
บอก เขากระโดดถีบตัวไต่ไปตามผนังของตรอกแคบดังเช่นที่เคยทำตอนที่ช่วยชีวิตลูกหมาไว้ในศึก สามเทพอสูรบรรพกาล
จากบนหลังคาเขาสามารถกวาดสายตามองทัศนียภาพ ของทั้งเมืองได้อย่างชัดเจน
“ ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็มีแต่ที่ๆถูกไฟเผาหมดแล้วทั้งนั้น แถมยังมีพวกทหารผีเดินกันอยู่เต็มเมืองเลยด้วย
จะให้มองหาที่ๆ แสงสวรรค์ส่องถึงเหรอ? ”
โคทาโร่ พึมพำ จนเมื่อสายตาของเขาไปสะดุดเข้ากับ อาคารซึ่งออกแบบอย่างประณีตงดงาม ตัวผนังอาคารสีขาวบริสุทธิ
ประดับประดาไปด้วยกระจกสีซึ่งบอกเล่าเรื่องราวต่างๆของพระเจ้าและมนุษย์ มันคือวิหารประจำเมืองแห่งนี้
โคทาโร่ แน่ใจแล้วว่าสถานที่ๆ เสียงนั้นบอกคงจะหมายถึง วิหารนั้นอย่างแน่นอน ไม่รอช้า โคทาโร่
ก็กระโจนไต่ไปตามหลังของเรือนใกล้ๆ ไปเรื่อยๆ จนเข้ามาในบริเวณวิหารแล้ว ที่นี่ ไม่มีทหารผีนรกอยู่เลยซักตน
เพราะหากพวกมันเฉียดเท้าเข้าใกล็ ก็จะถูกพลังศักดิ์สิทธิที่คุ้มครองพระวิหาร แผดเผาจนมอดไหม้ กระนั้นก็ดี
ที่หน้าประตูวิหาร พมนุษย์ของฝ่ายศัตรู ต่างกำลังเตรียมที่จะบุกเข้ามาภายในวิหารศักดิ์สิทธิ์ เพื่อหลบสายตา
ของศัตรู โคทาโร่ จึงวิ่งอ้อมไปที่ด้านหลังของวิหารที่นั่น มีต้นไม้สูงต้นหนึ่งขึ้นอยู่ไม่ห่างจากตัววิหารมากนัก
เขาค่อยๆปีนป่ายขึ้นไปจนถึงกิ่งยอดของต้นไม้สูง แล้วใช้แรงทั้งหมดที่มีถีบตัวสุดแรงเพื่อกระโดดข้ามไปเกาะ
ระเบียง วิหารจนสำเร็จ กลอนหน้าต่างวิหารไม่ได้ถูกล็อคไว้ เขาจึงเปิดและลอดตัวเข้ามาภายในผ่านทางช่อง
เล็กๆของหน้าต่าง
ตอนนี้เขาได้มายืนอยู่บนระเบียงทางเดินด้านในของโถงใหญ่ในวิหาร ที่ลานของห้องโถงใหญ่นั้นมีรูปหล่อ
ศักดิ์การะขนาดใหญ่แกะเป็นรูปนางฟ้าแห่งดาบ
Church of Francessca
“ ไม่ได้นะท่านบิชอป หากท่านออกไปใครจะปกป้องวิหารอันศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองนี้เล่า แล้วยังเด็ก ๆ เหล่านี้อีก หากท่านไม่อยู่ที่นี่พวกเขาคงไม่รอดแน่ ”
เสียงเอะอะดังขึ้นจากลานด้านล่างของห้องโถง ข้างล่างนั้นมีชาวเมืองกว่าร้อยชีวิต ที่หนีรอดมาจากการบุกโจมตี
และเข้ามาหลบภัยอยู่ในวิหารแห่งนี้ กว่าครึ่งเป็นเด็กเกือบทั้งหมด และมีผู้หญิงที่คอยดูแลอยู่ ห่างออกไปจากกลุ่มนั้น
มีนักบวชคนหนึ่งที่ดูจะมียศสูงที่สุด ในที่นี้ กำลังเจรจาอยู่กับผู้คุมวิหาร การเจรจาดูจะตึงเครียดเอามากๆ
ไม่นานจากนั้น กลุ่มผู้หญิง ที่คอยดูแลเด็กๆอยู่ ก็ลุกกันออกมาสมทบด้วย
“พี่น้องทั้งหลาย เราไม่อาจบรรยายความทุกข์โศกเสียใจที่ไม่สามารถร่วมเคียงบ่าเคียงไหล่กับพวก ท่าน ไม่สามารถบรรยายความซาบซึ้งใจและสำนึกในความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวของพวกท่านให้ ออกมาเป็นคำพูดได้ แต่เรารู้ว่าการกระทำของพวกท่านในวันนี้จะไม่สูญเปล่า ความกล้าหาญและเสียสละของพวกท่านจะตราตรึงอยู่ในจิตใจของประชาชนชาวฟีเลเซีย ตลอดไป เราสัญญาว่าจะปกป้องวิหาร และเด็ก ๆ จนสุดความสามารถแม้ต้องเอาชีวิตเข้าแลก”
นักบวชชั้นสูงผู้นั้นกล่าวอวยพรแก่บรรดาผู้เสียสละทั้งหลายที่ออกมา พวกเขาเหล่านั้นคงจะออกไปต้านทัพศัตรู
ที่อยู่ด้านนอกวิหารเป็นแน่
“ กำลังทหารมีแค่นั้นคิดจะออกไปตายกันรึไงนะ ”
โคทาโร่ สบถแต่เขาก็มีเวลาฟังไม่มากนักเพราะหลังจาก คณะผู้กล้าที่จะออกไปรบเดินออกไปแล้ว นักบวช
ก็ได้พาพวกเด็กๆขึ้นบันไดวิหาร มายังระเบียงนี้ โคทาโร่ วิ่งเข้าไปหลบหลังเสาค้ำวิหารและรอจนกลุ่มเดินผ่านไป
จากนั้นเขาจึงเดินเข้าไปสมทบกับกลุ่มเด็กๆโดยไม่ให้ใครจับได้ แต่ก็ดูจะยากซักหน่อยเพราะทุกคนเนื้อตัวหม่อมแมม
และเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด แตตัวเขานั้นนอกจากจะสะอาดหมดจดแล้วยังสวมเสื้อผ้าที่ดูแปลกตากว่าคนอื่นๆอีก
เสียงเฮโลและเสียงศาสตราวุธดังกระทบกันดังออกมาจากนอกวิหาร บรรดาผู้เสียสละเหล่านั้นคงจะกำลังเข้าปะทะกันแล้ว
พวกเขาเดินขึ้นมาจนถึงห้องลับที่อยู่ใต้โดมของวิหารแห่งนี้ภายในเป็นห้องที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ลี้ภัยชั่วคราวของบุคคลสำคัญต่าง ๆ เพราะดูภายนอกจะมองเห็นเป็นเพียงแค่โดมที่สวยงามธรรมดา ๆ ไม่ต่างจากโดมอื่น ๆ ของวิหารแห่งนี้ ห้องนี้
โออ่าและมีสิ่งอำนวยความสะดวกเท่าที่จำเป็นอย่างครบครัน แต่ก็ไม่ถึงกับฟุ่มเฟือย ที่มุมห้องด้านหนึ่งมีพระแท่นเล็ก ๆ ไว้สำหรับประกอบพิธีกรรมทางศาสนาด้วย ผนังห้องทุกด้านตั้งแต่พื้นจรดเพดานถูกวาดเป็นลวดลายที่เกี่ยวกับศาสนาอย่าง สวยงาม ความสูงของห้องลับนี้ทำให้เสียงการสู้รบอย่างดุเดือดดังขึ้นไปไม่ถึง
บรรดาเด็ก ๆ จึงค่อยสงบใจลงได้ บางคนเริ่มมองสำรวจรูปภาพและเครื่องใช้ในห้อง นักบวชนำเด็ก ๆ สวดอธิษฐานภาวนาต่อพระเจ้าโดยมอบหมายให้เด็กที่โตที่สุดในกลุ่มดูแลเด็ก ๆ และนำสวดแทนเขา จากนั้นจึงออกเดินลัดเลาะทางแคบ ๆ ที่นำไปสู่ระเบียงเล็ก ๆ ของโดมหนึ่งบนยอดวิหาร
โคทาโร่ จึงแอบตามเขาไป และเมื่อมาถึงระเบียงเล็กๆของโดมหนึ่งบนยอดวิหาร นักบวชผู้นั้น ก็แสดงอาการ
ตกใจจนเกือบจะล้มทั้งยืน เช่นเดียวกับเขา เพราะสภาพที่ลานหน้าวิหารซึ่งมองได้จากระเบียงนี้อาบชโลมไปด้วยเลือดจนกลายเป็นสีแดงฉาน ร่างแหลกเหลวแทบไม่เหลือชิ้นดีของบรรดาอัศวิน นักบวชและผู้ปกป้องวิหารนอนกระจัดกระจายเกลื่อนพื้น
“ โธ่เว้ย!! ”
โคทาโร่ ตะคอกพร้อมกับทุบราวระเบียงเสียงดัง จนนักบวชที่เขาแอบตามมาหันมามองด้วยความตกใจ
“ อีกแล้วงั้นเหรอ! ”
โคทาโร่ สบถภาพที่เห็นและสภาพที่เขากำลังเป็นอยู่ตอนนี้ นั้นทำให้เขาหวนนึกไปถึงสมัยเด็ก ในการปฏิวัติที่สเปน
วันที่เขาต้องสูญเสียมารดา ไปโดยที่ไม่อาจทำอะไรได้นอกจากมองดูคนที่พยายามจนสุดชีวิตเพื่อปกป้องเขา
“ ธ…เธอ ”
นักบวช เอ่ยถามด้วยความแปลกใจ เพราะก่อนที่จะขึ้นมาถึงที่นี่ เขายังไม่เคยเห็น โคทาโร่ มาก่อนเลย
“ เธอจะเป็นเดือดเป็นดาลไปทำไมเล่า..สำหรับเธอพวกเขาก็เป็นแค่สิ่งที่ไม่มีตัวตน เป็นเพียงเรื่องเล่าและไม่ได้มีความสัมพันธ์ใดๆกับตัวเธอเลยซักนิดเดียว ”
เสียงที่เรียกหาเขามาถึงวิหารนี้ดังขึ้นอีกครั้ง แต่คราวนี้ ไม่ใช่เพียงแค่เขาเท่านั้นที่ได้ยินแต่เสียงนี้ดังกึกก้องไปทั่วทั้งวิหาร
การสู้รบข้างล่างนั้นหยุดลงไปชั่วขณะด้วยเพราะบรรดาทหารและเหล่าผู้ปกป้องวิหารต่าง ตกอยู่ในอาการตะลึง
เมื่อแสงสว่างเจิดจ้า ปรากฏขึ้นที่หน้าระเบียงเล็กของยอดโดมวิหารที่ โคทาโร่ และ นักบวชกำลังยืนอยู่
“ เธอเองเหรอที่เรียกหาฉัน….โดมินิก้า(Dominica, the Power of Heaven) ”
โคทาโร่ กล่าวแสงสว่าง ที่อยู่ต่อหน้าพวกเขา คือ ทูตสวรรค์องค์สีขาวหุ้มเกราะขลิบลายทอง
กำลังจ้องมองมาที่เขา บรรดา เด็กๆที่กำลังสวดภาวนาและ นักบวชถึงกับตะลึงไปชั่วขณะกับการปรากฏกายของ
ทูตสวรรค์ที่มาในระยะประชิดขนาดนี้
“ เธอจะสู้เพื่อคนเหล่านี้เหรอ? ”
โดมินิก้า ถามอีกครั้ง โคทาโร่ ก้าวเท้าเดินออกมาข้างหน้า และตอบรับด้วยเสียงดังอย่างมั่นใจ
“ แหงสิ จะให้ทนดูคนที่เดือดร้อนได้ยังไงล่ะ! ”
“ นั่นเป็นคำสั่งของ Pawn of Checkmate 5 รึเปล่า? ”
โดมินิก้า ย้อน
“ ไม่! นี่เป็น…การตัดสินใจของฉันเอง ”
คำตอบของเขา ทำให้ โดมินิก้า ยอมรับและหันกลับไปยื่นคมดาบศักดิ์สิทธิ์ เข้าใส่เหล่าทหารฝ่ายศัตรู
/Get Set/
เสียงทุ้มกังวานดังขึ้นพร้อมกับ Note ของเขาได้ปรากฏขึ้นมาที่แขนซ้ายและขวา
“ มาแล้วเหรอ มาราคัส พร้อมจะลุยกันรึยัง? ”
โคทาโร่ เปรย
/Yes!, I’m Ready!!/
มาราคัส Note ของเขาตอบกลับอย่างแข็งขัน
“ถ้างันก็ไปกันเลย!! ”
โคทาโร่ ตะโกนพร้อมกับกระโดดขึ้นไปบนหลังของ โดมินิก้า แล้วจจึงจับการ์ดขึ้นมาจากสำรับ
“ ออกมาเลยพวกเรา!! ”
สิ้นคำ บรรดาอสูรมนุษย์หมาป่าทั้งหมดของเขาก็ถูกอัญเชิญ ลงมาตะลุมบอนกับทัพศัตรู
“ Heaven is Supremacy ”
โดมินิก้า แผดเสียงพร้อมกันนั้น ดาบทั้งหมดก็ตวัดสร้างคลื่นแสงสว่างลงไปกวาดล้างกองทัพ ทหารผีนรกที่ล้อมกรอบอยู่ด้านนอกวิหารจนราบเรียบ ทัพศัตรูเมื่อเจอกับพลังมหาศาลที่ ถูกปลดปล่อยโดยโคทาโร่ ในฐานะนักร่ายอสูรเช่นนี้
ก็แตกฮือ กันไม่เป็นท่า
“..เวลาคือดาบที่พระองค์ใช้มันพรากผู้ที่เรารักไป บัดนี้กำลังจะพังทลายลงแล้ว....ต่อหน้าความเป็นไปได้เหนือขีดจำกัด Progress Summon...... จงออกมา พระเจ้าผู้ไม่สิ้นสุด คาออสลอร์ดเลวีอาทาน(Eternal Immortal Chaos Lord Leviathan) ”
เสียงเปรยดังแว่วขึ้นมาอย่างเบาๆจากวิหาร พร้อมกับการปรากฏตัวของจอมอสูรสามหัวที่ถูกเรียกว่า พระเจ้าผู้ไม่สิ้นสุด
ขึ้นจากฝั่งด้านหลังวิหาร
“ นั่นมัน!? ”
โคทาโร่ สบถอย่างเจ็บใจก่อนจะให้ โดมินิก้าหักเลี้ยวกลับไปที่วิหารอีกครั้ง ลำแสงน่าสะพรึงพุ่งออกจากปากทั้งสามของ
พระเจ้าผู้ไม่สิ้นสุด ลำแสงพุ่งเข้าโดน โดมินิก้า ด้วยจนเมื่อแสงหายไป ทั่วทั้งเมืองถูกแช่แข็ง
จนหยุดนิ่งทั้งหมดรวมไปถึงอสูรของ โคทาโร่ ที่เรียกออกมาด้วย
โดมินิก้า ที่ถูกลำแสงนั้นเข้าไปทำให้ท่อนล่างกลายเป็นน้ำแข็งอย่างช้าๆ แต่ก็พยายามฝืนจนมาส่ง โคทาโร่ที่วิหารได้สำเร็จ
ก่อนจะแตกสลายไป
“ หมดเวลาเล่นแล้ว…เลือกเอาว่าจะสลัดทิ้งความกลัวต่อพระเจ้าผู้ไม่สิ้นสุดหรือจะจมดิ่งลงไปลึกกว่านี้ ”
เจ้าเสียงเปรยที่ดังขึ้นก่อนการปรากฏตัวของ พระเจ้าผู้ไม่สิ้นสุด ยื่นข้อเสนอ ซึ่งก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจาก เกร นั่นเอง
“ นายคิดจะทำอะไรกันแน่? ”
โคทาโร่ ถาม
“ ฉันมา…ก็เพื่อจะสั่งสอนให้พวกเขาเหล่านี้รู้ว่าพระเจ้าทรงผิดพลาด ”
……………………………………………
…………………………………………………………………
“ มิสตาลจิกัส คอนฟลิกตัส จาก SMN Academy สาขาตะวันตก ฝากตัวด้วยนะครับ ”
มิส กล่าวทักทายกับเพื่อนร่วมชั้นทุกคนในห้องของ ธนัท ซึ่งตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปที่นี่จะเป็นห้องเรียนประจำ
ของเขาไปจนกว่าจะหมดเทอม
“ เอาล่ะจ้า จากวันนี้ไป มิสตาลจิกัส เขาจะมาเป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนของเราแล้ว ช่วยดูแลเขาด้วยนะทุกคน ว่าแต่ที่นั่ง
ใหม่ยังไม่มาเนี่ยสิ ”
อาจารย์บุษบา กล่าวและมองหาที่นั่งว่างที่จะให้ มิสนั่ง จนมาสะดุดกับที่ว่าง ข้าง ธนัท ที่ปกติแล้ว จะเป็นที่นั่งของ โคทาโร่
“ อ่า วันนี้ โคทาโร่ เซนาคาว่า ขาดเรียนสินะ งั้นให้ มิสตาลจิกัส ไปนั่งข้างๆ ธนัท ก่อนก็แล้วกันคงไม่มีปัญหานะ ”
อาจารย์บุษบา กล่าว ก่อนจะส่ง มิส ไปนั่งข้างๆ ธนัท
“ ว่าไงพวก! ดีจังเลยนะที่เราได้อยู่ห้องเดียวกันเนี่ย ”
มิส พูดหลังจากนั่งลงแล้ว
“ แล้วบาร์นล่ะ ห้องนี้ด้วยเหรอ? ”
ธนัท ถามหา เพื่อนสนิทอีกคนของ มิส ที่มักจะอยู่ด้วยกัน
“ อ๋อ ถ้าบาร์นล่ะก็ เจ้านั่นอยู่อีกห้องนึงคู่กับ เชส น่ะเค้าให้ นักเรียนแลกเปลี่ยนอยู่คู่ล่ะห้องน่ะ ”
มิส ตอบ
“ สวัสดีค่ะ แพน ราโด(Pan Rado) จาก SMn Academy สาขาใต้ ฝากตัวด้วยค่ะ ”
เสียงของนักเรียนแลกเปลี่ยนคนที่สี่ ซึ่ง ธนัท เองยังไม่เคยเห็นตัวเธอมาก่อนเลย นักเรียนแลกเปลี่ยนหญิงผู้นี้
มีผมสั้นสีขาวใบหน้าของเธองดงามหมดจด ราวกับเทพธิดา แต่เหนืออื่นใด ยามที่สบตากับเธอ ก็จะรู้สึกเหมือนกับถูกดูด
เข้าไปในความมืดมิอาจหยั่งลึก สัมผัสประหลาดที่แผ่ออกมาจากตัวเธอนั้นทำให้ทั้งห้องถึงกับเสียวสันหลัง
ขึ้นมา เช่นเดียวกับ มิส นั่นคือยังไม่มีเก้าอี้กับ โต๊ะชุดใหม่สำหรับนักเรียนแลกเปลี่ยน
อาจารย์บุษบา จึงจัดให้เธอมานั่งที่นั่งของ เคียว ซึ่งขาดเรียนไปนานแล้ว และที่แย่ไปกว่านั้นคือ ที่นั่งของเคียวก็อยู่ข้างๆ
ผมนี่เอง ทำให้ผมถูกขนาบด้วยนั่งเรียนใหม่ถึง 2 คนพร้อมกัน การเรียนการสอนในวันนี้เป็นไปอย่างเชื่องช้า
กว่าทุกวันที่ ธนัท รู้สึก สาเหตุมาจากความรู้สึกประหลาดๆที่แผ่ออกจากตัว แพน นักเรียนหญิงแลกเปลี่ยนคนที่สี่
…………………………………
…………………
ขณะเดียวกันนั้นเอง ที่ โลกเทอร่า การเผชิญหน้าระหว่าง โคทาโร่ กับ เกรนั้นพึ่งจะเริ่มขึ้น
“ พระเจ้านั้นโหดร้ายทรงไม่ยอมช่วยเหลือในยามที่ควรช่วย อย่างในครั้งนี้กว่าที่พระองค์จะทรงประทานความช่วยเหลือมาก็มีกี่คนแล้วที่ต้องสังเวยให้กับความโศกเศร้า กี่ชีวิตที่ต้องเป็นข้อแลกเปลี่ยนเพื่อให้ความช่วยเหลือมาถึง… ”
เกร พูดไปซักพักหนึ่งก็เงียบเสียงลง เมื่อแสงสีทองลอดผ่านหน้าต่างระเบียงเข้ามาภายในโดม
ลำแสงสว่างพุ่งแหวท้องนภาลงมายังเมือง วอลเนีย และร่างของ อัศวินสวรรค์(Heaven Knight)องค์หนึ่งในชุดเกราะสีทองขลิบเงินเปล่งประกายเจิดจ้าไม่ต่างกับแสงแห่งดวง อาทิตย์ ปีกสีขาวบริสุทธิ์อันใหญ่โตทั้งสี่กางแผ่ทอแสงสีเงินพราวระยิบระยับปกคลุม ตัววิหารแห่งฟรานเชสก้าจนหมด ในมือขวาถือหอกปลายแหลมขนาดใหญ่สีทองอร่าม ดวงตาของ
อัศวินสวรรค์นั่นปิดสนิทอย่างผู้มีจิตสงบนิ่ง สรรพสิ่งต่าง ๆ ดูจะนิ่งสงบลงทันทีเมื่ออัศวินแห่งสวรรค์ปรากฏกายขึ้น ก้อนเมฆบนท้องฟ้าหยุดนิ่งไม่เคลื่อนไหว แม้แต่สายลมที่เคยพัดวูบไหวผ่านเมืองวอลเนียเป็นประจำก็ยังเงียบหายไป เหมือนกาลเวลาหยุดเดินไปชั่วขณะ
“ อัศวินสวรรค์ ”
นักบวชที่ยืนอยู่กับพวกเขาเปรยขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ทว่า ก่อนที่ อัศวินสวรรค์จะได้ทันเบิกดวงตาขึ้น
ก็ถูกลำแสงของ พระเจ้าผู้ไม่สิ้นสุด ทำใหกลายเป็นก้อนน้ำแข็งไปเสียแล้ว
“ ความช่วยเหลือที่แฝงไว้ด้วยความโลภของพระองค์น่ะ….ไม่จำเป็นอีกแล้วเพราะที่นี่มีข้าอยู่ตรงนี้แล้ว ”
สิ้นคำร่างของ อัศวิน สวรรค์ก็แตกร้าวออกเป็นเสี่ยงๆ ต่อหน้าพวกเขาท้องฟ้ายามรุ่งสาง แปรเปลี่ยนเป็นความมืดอันเวิ้งว้าง
ดั่งเช่นห้วงอวกาศ
“ ท…ทำไมถึงได้กล่าวร้ายใส่พระองค์เช่นนั้น…ทำไมถึงได้จงเกลียดจงชังพระองค์ยิ่ง ”
นักบวช ถามเสียงสั่นเครือ ขาของเขาสั่นเสียจนจะยืนไม่อยู่แล้วเมื่อต้องสู้กับ แรงกดดัน ของ เกร
พลังอำนาจที่มากมายมหาศาลเสียจนบงการสวรรค์ทั้งสวรรค์ได้หรือไม่ก็อาจจะรวมถึงพระเจ้าด้วยที่ต้องก้มหัวแก้เขา
“ ครั้งหนึ่งฉันเคยเชื่อในตัวพระองค์แต่กลับถูกทรยศหักหลัง บังอาจใช้หน้ากากที่เรียกว่า ความสมดุล ใช้สังขารเป็นข้ออ้าง
พรากเอาผู้เป็นที่รักของเราไป นับแต่บัดนั้น เป็นต้นมาความตั้งใจของฉันมีแค่หนึ่งเดียวเท่านั้น จะฆ่าพระเจ้า
แล้วหยุดห้วงเวลานี่เพื่อให้เวลานี้เป็นนิรันด์ ”
เกร ประกาศซึ่งความตั้งใจจริงของเขาออกมาให้เป็นที่ประจักษ์แก่ทุกคน
“ บ้าไปกันใหญ่แล้ว จะฆ่าพระเจ้าบ้างล่ะ หยุดเวลาบ้างล่ะมันได้ที่ไหนกัน ”
โคทาโร่ ตะคอกกลับ
“ ความทะเยอทะยานของเจ้าไม่อาจกร้ำกรายพระองค์ได้หรอก ”
นักบวชแทรกขึ้นมา
“ บิชอป แห่ง ฟีเลเซีย เกรเกอรี่(Gregory, the Bishop of Felasia) เอ๋ย หากบอกว่าสิ่งที่เราทำคือความทะเยอทะยาน
แล้วการที่พระเจ้าทรงปกครองมนุษย์ นั้นไม่เรียกว่าความทะเยอทะยานบ้างรึไง เล่าเพราะพระเจ้าถือตนว่าสร้าง
ทุกสรรพสิ่งถึงได้มีอภิสิทธิ์เหนือกฏเกณฑ์ที่ตนได้ตั้งขึ้นมาด้วยงั้นหรือ หากการกระทำของเราคือความทะเยอทะยานจริง
เหตพระเจ้าจึงยังไม่อาจลงมือกับ พระเจ้าผู้ไม่สิ้นสุดของเราเล่า! ”
เกร ย้อนกลับไป บิชอปหนุ่มไม่อาจโต้ตอบกลับมาอีก ไม่ใช่เพราะหมดศรัทธา หากแต่เป็นความหวาดกลัวที่
ก่อตัวขึ้นพร้อมกับความกังวล ที่มีต่อเหล่าเด็กๆซึ่งเขารับฝากฝังมาจากเหล่าพลเมืองที่ยอมออกไปสู้ตายเพื่อปกป้องวิหาร
“ โคทาโร่ ฉันจะบอกเอาไว้เรื่องหนึ่ง พวกเราไม่ใช่ผู้ที่พระเจ้าทรงคัดสรร แต่พวกเราต่างหากคือผู้ที่สมควรคัด
เลือกพระเจ้าเสียใหม่ ”
เกร หันมาพูดกับ เขาโดยใช้เสียงเดียวกับเสียงของ โดมินิก้า
“ เสียงของ โดมินิก้า ที่เรียกฉันมาตั้งแต่ต้นที่แท้ก็เป็นฝีมือนายเองหรอกเหรอ? ”
โคทาโร่ ถาม
“ ว่ากันตามจริงแล้ว ที่นี่ทุกอย่างล้วนเป็นภาพมายาที่ลวงหลอกทุกสัมผัสของนาย พวกเขาเหล่านี้รวมไปถึงพฤติกรรมของ
โดมินิก้า นั้นก็เพราะฉันอยากให้มันเป็นเช่นนั้น ”
เกร สารภาพ เหตุการณ์ทั้งหมดตั้งแต่เริ่มที่ โคทาโร่ เข้ามาอยู่ที่ เทอร่า นี้ล้วนเป็นสถานการณ์ที่ เกร สร้างขึ้นเองทั้งนั้น
“ ไม่มีพระเจ้าองค์ไหนช่วยนายได้ทั้งนั้น มีแต่ตัวนายเองแล้วนะ ”
สิ้นคำ หัวหนึ่งของ พระเจ้าผู้ไม่สิ้นสุด ก็ย้ายลงมาดักรอที่ระเบียงโดมวิหาร ลำแสงแช่แข็งเตรียมพร้อมที่จะกำจัดทุกคนในโดมนี้ทันที
“ แบบนี้ตัวแกก็จะโดนไปด้วยนะ! ”
โคทาโร่ พูด
“ ไม่ว่าพระเจ้าจะแข็งแกร่งซักเพียงใดแต่คิดหรือว่าจะเอื้อมถึงผู้ที่อยู่เหนือพระเจ้าเช่นเราได้ ”
เกร ตอบเสียงเรียบ ลำแสงที่จะคร่าชีวิตทุกคนค่อยๆพุ่งออกจากปากของ พระเจ้าผู้ไม่สิ้นสุด
พริบตาต่อมา เมืองวอลเนียที่กลายเป็นน้ำแข็ง ก็ถูกกลืนหายเข้าไปในแสงสว่าง
“ อัคคีขาวโพลนแสนเย็นยเยือกผุดขึ้นจากขุมนรก จงกลายเป็นเพลิงคุณธรรม....ต่อหน้าความเป็นไปได้เหนือขีดจำกัดProgress Summon...... ”
ภายในแสงสว่างนั้น เปลวไฟสีขาวบริสุทธิ ลุกโหมโอบล้อมวิหารทั้งวิหารไว้ และเมื่อแสงจ้าดับลง
ร่างของอสูรซึ่งปรากกออกมาจาก เพลิงสีขาว คือร่างหุ้มเกราะสีขาวตัดทองบนหัวมีแท่งคริสตัลแหลมยื่นยาวออกมา
แขนอันใหญ่โตมโหราฬทั้งสองข้าง เป็นจักรกลที่สร้างพลังเพลิงสีขาว ออกมา ไฟที่ อสูรตนนี้สร้างไม่ใช่ไฟที่เผาผลสญหากแต่เป็นไฟ ที่หยุดทุกสรรพสิ่งเอาไว้ ภายวิหารซึ่งไฟสีขาวโอบล้อม บิชอปหนุ่มและ บรรดาเด็กๆต่างหยุดนิ่ง
อยู่กับที่ไม่มีใครขยับหรือพูดอะไร เวลาได้หยุดนิ่งลงไปตรงนั้นจริงๆ
“ จงออกมา พระเจ้าผู้ไม่สิ้นสุด มาควิสลอร์ดเลราเจ(Eternal Immortal Maquis Lord Leraje) ”
โคทาโร่ เค้นเอาคำพูดสุดท้ายออกมาก่อนจะล้มฟุบลงไป แล้วทุกอย่างก็มืดลง
…………………………………..
…………
“ ผ่านการทดสอบจากนี้ไปเค้าจะเป็นพวกเดียวกับเรา เป็นผู้ถือครอง พระเจ้าผู้ไม่สิ้นสุด ”
เกร พูด หลังจากลืมตาขึ้น
“ ลงทุนส่งจิตเข้าไปเองแบบนี้เหนื่อยแย่เลยนะเนี่ย ”
วาการุรุ พูด จนถึงตอนนี้ทั้ง เกร และคนอื่นๆรวมไปถึง โคทาโร่ ก็ยังคงอยู่ในห้องพักของ คลับเหมือนเดิม
ไม่ได้เคลื่นที่ไปไหน เหตุการณ์ทั้งหมดใน เทอร่า ที่ โคทาโร่ ได้ประสบมานั้น เป็นเพียงบททดสอบ
ของ พระเจ้าผู้ไม่สิ้นสุดเท่านั้น
“ แต่เสียดายง่ะ ตอนที่เกรคุง ถามว่าจะปลุกเจ้าหญิงนิทราต้องทำยังไงก็จะทำแบบนั้น กับเจ้าหนุ่มนี่
ไอ้เรารึอุตส่า เอากล้องวิดีโอตัวใหม่มาเตรียมนะเนี่ย สุดท้ายแค่ส่งจิตเองเรอะ ”
การุรุ บ่นไปพลางขณะที่ เก็บชุดกล้องที่เตรียมมาเก็บระทึกตามที่ตนหวังไว้ แต่ก็ผิดหวังในที่สุด
“ แล้วจะเอายังไงต่อล่ะ ถึงตอนนี้เค้าจะเป็นผู้ถือครองเช่นเดียวกับเราแล้ว แต่ก็ใช่ว่า เจ้าตัวจะยอมเข้าพวกกับเรานี่ ”
เทนโตะ ถามต่อถึงปัญหาที่พวกเขาค้างกันไว้ก่อนหน้านี้
“ คำตอบน่ะก็คือ…… ”
…………………………………………………………..
…………………..
“ หวัดดีค่า ทุกๆคนคิดถึง ไกอา กันไหมค้า~~~ สัปดาห์นี้ขอต้อนรับกลับเข้าสู่คาบเรียน Duel Class ของเราอีกครั้งนะค้า
ถึงจะเป็นครั้งที่ 4 แล้ว แต่ก็ยังมีผู้สนใจเข้าร่วมกิจกรรมอยู่กันอย่างล้นหลาม ”
ไกอา ยังคงทำหน้าที่ผู้บรรยายด้วยอาการเริงร่า อย่างเช่นทุกครั้ง
“ และวันนี้ ก็เป็นวันที่น่าจดจำเป็นอย่างยิ่ง เพราะในวันนี้ Master Ceremoy คิระดาบแห่งพระเจ้า จะทำการดวลกับ นักเรียนแลกเปลี่ยนจาก SMN Academy South ซึ่งเป็นคนที่ 3 แล้ว จากประวัติการดวลในครั้งก่อนๆ การดวลกับ บาร์น เวจเจเทเบิล
และ เชส ดีเจ ก็ชนะรวดมาแล้วตะคะ ตอนนี้ ส่วน มิสตาลจิกัส ที่ดวลกับ ธนัท ไปนั้น เราเองก็ได้เห็นฝีมือของเค้าไปกันแล้ว
แต่วันนี้ เราจะได้ชมฝีมือการดวลของ นักเรียนคนที่ 4 ที่ยังไม่เคยแสดงฝีมือให้เราเห็นกัน แพน ราโด ค่า~~~ ”
ไกอา ประกาศผ่านไมค์พร้อมกับ ผายมือลงไปยัง นักเรียนหญิงที่พึ่งมาอยู่ห้องเดียวกับ ธนัท วันนี้บริเวณรอบๆตัวเธอ
ไม่มีนักเรียนคนใดอยากจะเข้าไปอยู่ใกล้ ด้วยเพราะรังสีแปลกๆที่สัมผัสได้จากตัวเธอนั้นทำให้ใครก็ตามที่อยู่ใกล้กับเธอจะรู้สึกเสียวสันหลังไปซะหมด
“ แหม เอิกเกริกกันจังเลยนะ ”
แพน เปรยเสียงเรียบก่อนจะเดินแหวกฝูงชนออกไปที่หน้าเวที ที่จริงแล้วน่าจะบอกว่าฝูงชนแหวกทางให้เธอเสียมากกว่า
ก่อนที่จะไปจนถึงบันไดเวทีนั้น เธอหยุดเท้าลงที่หน้า ธนัท ก่อนจะเอ่ยปากพูดกับเขา
“ เอาใจช่วยฉันด้วยนะ ทานา….เอ้ย ธนัท ”
ทันทีที่เธอ พูดจบมือของเจ้าหล่อน ก็ช้อนปลายคาง ธนัท เข้ามาหอมแก้มไปเสียทีนึงก่อนจะผละตัวไปขึ้นเวที
“ กรี้ด~~~ ยัยนั่นเป็นใครคิดว่าตัวเองเป็นใครกันยะเนี่ย ถึงได้มาก้อรล่อก้อติกกับ ธนัท แบบน้าน~~~ ”
ลูเซีย แหกปากขึ้นมาก่อนเป็นคนแรกทันที ไม่เพียงแต่ เธอ เท่านั้น เพื่อนๆของ ธนัท ทุกคนต่างก็ตกใจกันไม่น้อย
โดยคนที่ช็อกที่สุดคงไม่พ้น ชุติการ เธอได้แต่นิ่งเงียบไม่พูดอะไรออกมาเลย
“ ที่จริง เธอนั่นแหละไปหัวเสียกับเค้าทำไม? ”
ไดสุเกะ ทักใส่ด้วยความสงสัยเช่นเดียวกับทุกคนที่อยากรู้ว่า เธอไปมีความสัมพันธ์กับ ธนัท ตอนไหน
“ อ้าว ก็แบบในละครไง ถ้ามีคนมาทำอะไรแบบนั้นต่อหน้าคนเยอะๆเค้าก็ต้องพูดแบบนี้กันไม่ใช่เหรอ ฉันจำมาน่ะ ”
คำตอบของ ลูเซีย ทำทุกคนพากันส่ายหน้าอย่างเอือมระอา
“ อย่าคิดมากเลยหนา ชุติ ยางงาย ธนัท ก็ม่ายด้ายสนยัยคนนั้นหรอกหนา ”
แอน กล่าวปลอบ ชุติการ ที่ยังคงเงียบอยู่ แต่เธอก็ส่ายหน้าปฏิเสธ
“ เปล่า…ไม่ใช่เรื่อง ธนัท หรอกที่ฉันกำลังคิดอยู่น่ะ คือสังหรณ์เกี่ยวกับผู้หญิงคนนั้น ”
ชุติการ พูดพร้อมกับมองไปที่ เวที ที่ตอนนี้ แพน ขึ้นไปยืนรอแล้ว
“ สังหรณ์มันบอกน่ะ…ว่าต้องเกิดเรื่องแน่ๆ ”
บนเวทีตอนนี้ คิระ ได้ตามขึ้นเพื่อจะทำการดวลแล้ว ทั้งสองฝ่ายต่างติดตั้ง Note ให้อยู่ในรูปแบบสำหรับดวลเป็นที่เรียบร้อย
“ เอาล่ะค่า~~ตอนนี้ทั้งสองฝ่ายก็พร้อมแล้วงั้นเราก็เริ่มการแข่งขันกันเลย Ruler Level Master Mode Let’s Duel!!!! ”
ไกอา ประกาศสัญญาณ เริ่มการดวลขึ้นทั้งคู่ก็ จับการ์ดขึ้นมาจนครบ 7 ใบ
[Pan Status; Hand: Seal 5 , Mystic 2 Mp:5/8 Shrine 0/8 ]
[Kira Status; Hand: Seal 5 , Mystic 2 Mp:8/8 Shrine 0/8 ]
“ เราจะอธิบายกฏอย่างคร่าวๆเกี่ยวกับกฏ Master Mode นี่กันอีกครั้งนะคะ ”
บีบิส เริ่มทำการบรรยายไปด้วยระหว่างการแข่ง ก่อนจะส่งไมค์ให้ อาจารย์คริฟ รับไปอธิบาย
“ สำหรับกฏ Master Mode นั้นจะเป็นการเล่นแบบ Summoner Level เพียงแต่จะมี Shrine Max แค่ 8 เท่านั้นนอก
เหนือจากนั้นจะเหมือนเดิมทุกอย่างครับ ”
อาจารย์ คริฟ อธิบาย
“ เอาล่ะค่ะฟังกติกาจบกันไปแล้วตอนนี้ การแข่งขันก็เริ่มโดยฝ่ายนักเรียนแลกเปลี่ยน ได้เป็นฝ่ายบุกก่อนค่ะ ”
ไกอา พากย์ต่อเพื่อปิดการบรรยาย
“ Cost Mp 3 ฉันให้ เคิสท์ สเปกเตอร์(Cursed Specter) ออกมาที่ At Line ”
แพน ประกาศพร้อมกับร่ายการ์ดซีล อัญเชิญ อสูรปีศาจซึ่งมีร่างเป็นโครงกระดูกทั้งร่างขึ้นมา
[Pan Status; Hand: Seal 4 , Mystic 2 Mp:2/8 Shrine 0/8 ]
[Kira Status; Hand: Seal 5 , Mystic 2 Mp:8/8 Shrine 0/8 ]
“ Ability ทำงาน!! เมื่อ เคิสท์ สเปกเตอร์ ถูกเรียกออกมาโดยไม่ได้มาจาก Shrine ก็จะได้ เอาการ์ดใบบนสุดของ
สำรับซีลขึ้นมาถ้าการ์ดใบนั้นมีชื่อว่า เคิสท์ ก็จะได้เรียกมันออกมาเลยแต่ถ้าไม่ใช่ก็ต้องวางกลับไปไว้ใบบนสุดเหมือน
เดิม ”
แพน อธิบายความสามารถของ มันก่อนจะ จับการ์ดขึ้นมาดู
“ การ์ดที่ฉันจับขึ้นมาได้คือ เคิสท์ เทอเรี่ยน(Cursed Therion) ดังนั้นก็จะได้เรียกมันออกมา ให้ เคิสท์ เทอเรี่ยน ออกมาที่ At Line ”
เธอแสดงการ์ดที่จับขึ้นมาก่อนจะโยนมันออกไปในอากาศ การ์ดผนึกดูดซับเอาละอองแสงซึ่งเป็นพลังเวทย์ที่ปล่อยออกมาจาก Note ของทั้งสองฝ่าย และอัญเชิญ อสูรสี่ขาทรงพลังออกมามันมีกายสีดำทมิฬ และ แผ่รังสีอำมหิตที่ชวน
ให้ขนพองสยองเกล้า ออกมา
“ แล้วต่อด้วย Cost Mp 2 ให้ อันเดอร์เอิทธ์เทล (Underearth Tail) ออกมาที่ Df Line แล้วหมดรอบ ”
อสูร ตัวยาวเลื้อยขดออกมาจาก การ์ดผนึก ลงสู่แนวหลัง ผิวของมันเต็มไปด้วยเมือก ลื่นๆที่ส่งกลิ่นเหม็นหืนของ
ดิน อยู่ตลอดเวลา
[Pan Status; Hand: Seal 3 , Mystic 2 Mp:0/8 Shrine 0/8 ]
[Kira Status; Hand: Seal 5 , Mystic 2 Mp:8/8 Shrine 0/8 ]
“ รอบของฉัน Cost Mp 3 เรียกให้ ดิ กาเดี้ยน ออฟ เลกซ์เดทีโอซีล(The Guardian of Lexdetheo Seal)
ออกมาที่ At Line แล้วให้ Ability ทำงาน!! ”
คิระ ประกาศรอบของตนก่อนจะ หยิบเอาการ์ดผนึกบนมือร่างออกมา อสูรจักรกลแห่งสวรรค์ ล่อนลงมาจากท้องฟ้า
พร้อมกับดาบเล่มใหญ่ 4 เล่ม
[Pan Status; Hand: Seal 3 , Mystic 2 Mp:8/8 Shrine 0/8 ]
[Kira Status; Hand: Seal 4 , Mystic 2 Mp:5/8 Shrine 0/8 ]
“ จังหวะนี้ Cost Mp 2 ให้ Mystic สนาม วิหารแห่งฟรานเซสก้า(Church of Francessca) ทำงาน!! มันจะทำให้ อสูรทุกใบในสนามสูญเสีย Ability ที่ทำงานตอนที่ถูกเรียกออกมา ”
แพน แทรกพร้อมกับ ชิงร่าย มิสิกการ์ดบนมือของเธอ ออกมาก่อนที่ จักรกลสวรรค์ จะได้กระทำการใดๆ
ทันทีที่ มิสติกการ์ดของ เธอ สัมผัสถูกพื้นเวทีมันค่อยๆจมลงไปครู่ต่อมา บริเวณรอบเวทีก็แปรสภาพกลายเป็น ห้องโถงกลางของ มหาวิหารแห่งฟรานเซสก้า รูปปั้นของ นางฟ้าแห่งดาบถูกประดับไว้กลางสนามตรงกับบริเวณเสาธงพอดิบพอดี
[Pan Status; Hand: Seal 3 , Mystic 1 Mp:6/8 Shrine 0/8 ]
[Kira Status; Hand: Seal 4 , Mystic 2 Mp:5/8 Shrine 0/8 ]
เพราะเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ทำให้ จักรกลแห่งสวรรค์ สำรวมการกระทำทั้งหมด เพื่อไม่ให้มหาวิหารต้องพังทลาย
ดาบทั้ง 4 เล่มที่นำมาด้วยจึงสลายไป
“ ถูกสกัด Ability เมื่อเข้ามาในสนามแบบนี้ คงจะทำให้ รุ่นพี่ บุกลำบากอยู่ ”
ธนัท ออกความเห็น
“ Cost Mp 2 ให้ แมกม่าเทียร์ (Magma Tear, the Wand of Brenda) ติดให้กับ ดิ การ์เดี้ยน ออฟ เลกซ์เดทีโอ
แล้ว Cost Mp 2 โจมตีไปที่ เคิสท์ เทอเรี่ยน Magma Strike !! ”
คิระ ขว้าง มิสติกการ์ด ออกไปในสนาม และกลายเป็นคฑาสีแดงเพลิง ให้จักรกลสวรรค์ รับไปใช้แทน ดาบที่ต้องสละไป
และสั่งโจมตี จักรกลสวรรค์ทะยานตรงเข้าหมายจะเล่นงาน อสูรต้องสาป
[Pan Status; Hand: Seal 3 , Mystic 0 Mp:6/8 Shrine 0/8 ]
[Kira Status; Hand: Seal 4 , Mystic 1 Mp:1/8 Shrine 0/8 ]
“ Cost Mp 2 ให้ it’s no Joke(It's no Joke!!!) ทำงาน การ์ดใบนี้จะย้ายเป้าการโจมตีมายัง อสูรที่ติดมันไว้ ดังนั้นการโจมตีจึงถูกย้ายมาที่ เคิสท์ สเปกเตอร์ แทน ”
แพน ประกาศพร้อมกับ ร่ายมิสติกการ์ด ออกมา จักรกลสวรรค์ เหวี่ยงคฑาในมือ สุดแรงใส่ อสูรต้องคำสาป แต่ก็พลาดไป
โดน อสูรกระดูกที่ยืนอยู่ข้างๆแทน
“ ด้วยผลของ แมกม่า เทียร์ทำให้ At เพิ่มขึ้นไปอีก 2 จุด ”
คิระ กล่าว คฑาที่อสูรจักรกลสวรรค์ของเขาถือไว้กำลังลุกโชนด้วยเปลวเพลิง
“ จากนั้น Cost Mp 1 ให้ Ability ทำงาน ดิ การ์เดี้ยนออฟเลกซ์ดีทีโอ สามารถโจมตีได้อีกครั้ง ”
สิ้นคำ คฑาเพลิงก็ลุกโชนขึ้นยิ่งกว่าเดิม จักรกลสังหาร ควงคฑา พุ่งเข้าเล่นงานอยางว่องไวปานสายฟ้า
“ โอ๊ะโอ เดี๋ยวสิ ในจังหวะนี้ Ability ของ เคิสท์ สเปกเตอร์ ทำงาน… ”
ระหว่างนั้นเอง แพนก็แย้งขึ้นมา ทว่าคฑาเพลิงก็ฟาดเข้ากับหลังของ อสูรต้องสาปของ เธอเสียแล้ว
ไฟลุกลามโหมท่วมใส่ร่างของ อสูรทั้งสองจนมองไม่ออกว่าใครเป็นฝ่ายชนะในการต่อสู้ จนเมื่อไฟหายไป
ภาพที่ปรากฏขึ้นกลับกลายเป็นว่า ทั้งจักรกลสวรรค์และ อสูรต้องสาปถูกจัดการไปพร้อมๆกัน โดยที่อสูรต้องสาปสวม
หน้ากากเหล็กซึ่งใบมีดแหลมยื่นออกมาคล้ายเขี้ยวสัตว์ และเป็นอาวุธที่ใช้ประสานงากับ อสูรของ คิระ
[Pan Status; Hand: Seal 3 , Mystic 0 Mp:6/8 Shrine 4/8 ]
[Kira Status; Hand: Seal 4 , Mystic 1 Mp:1/8 Shrine 2/8 ]
“ อ…อะไรกันน่ะ เสมอกันงั้นเหรอ? ”
มิส ร้องเสียงดังอย่างตกใจกับผลที่ออกมา ร่างของอสูรต้องสาปค่อยๆสลายเป็นขี้เถ้าไปพร้อมๆกับร่างของ
จักรกลสวรรค์ที่ค่อยๆกลายเป็นสนิมและละลายเป็นของเหลว
“ แต่ว่า ค่าพลังของ การ์เดี้ยนออฟเลกซ์เดทีโอซีล น่ะมีมากกว่า เคิทส์ เทอเรี่ยน นี่แล้วทำไม….. ”
ธนัท แย้งขณะเดียวกัน ร่างของ อสูรของทั้งสองฝ่ายก็สลายตัวกลับเป็นการ์ดและคืนกลับสู่มือของทั้งสอง
“ ด้วยผลของ เคิสท์ สเปกเตอร์ ทำให้สามารถนำ Mystic Card อุปกรณ์แบบสวมใส่ จากสำรับติดให้กับ
เคิสท์ การ์ดในสนามได้ใบหนึ่งที่ ฉันเลือกมา ก็คือ เวน่อม ซิสเซอร์ คลอว์ (Venom Scissors Claw) มันจะทำให้ อสูรที่
ต่อสู้ด้วยติด Poison Curse เป็นเวลา 3 Turn และเมื่อผนวกกับ Ability ของ เคิสท์ เทอเรี่ยน ที่เมื่อถูกส่งไปยัง Shrine จากสนาม ก็จะทำลาย Seal ที่ติด Curse ได้ 1 ใบ ”
แพน อธิบายพร้อมกับ แสดงการ์ดที่รับมาให้ ทุกคนดู
[Pan Status; Hand: Seal 3 , Mystic 0 Mp:6/8 Shrine 4/8 ]
[Kira Status; Hand: Seal 4 , Mystic 1 Mp:1/8 Shrine 2/8 ]
“ รีบร้อนเกินไปแบบนั้นน่ะ เอาชนะฉันไม่ได้หรอกนะคุณ ดาบแห่งพระเจ้า หึๆ ”
แพน เยาะเย้ยก่อนจะเก็บการ์ดที่ใช้แล้วลงใน ช่อง Shrine อย่างสบายใจเฉิบ
“ ชิ..หมดรอบ ”
คิระ สบถอย่างที่ไม่เคยแสดงออกให้ใครเห็น นับเป็นครั้งแรกที่เขาแสดงอารมณ์ต่อหน้าผู้คนมากขนาดนี้
“ รอบของฉัน จั่วไพ่ ”
แพน ประกาศพร้อมกับจับมิสติกการ์ด 2 ใบ ออกจากสำรับ
[Pan Status; Hand: Seal 3 , Mystic 2 Mp:6/8 Shrine 4/8 ]
[Kira Status; Hand: Seal 4 , Mystic 1 Mp:8/8 Shrine 2/8 ]
“ ร..ร้ายกาจจริงๆค่ะ แค่รอบแรกก็โต้กลับการบุกของ คิระ จนในสนามไม่เหลือ อสูร ที่จะใช้ป้องกันอีกแล้ว
แพน ราโด กำลังเป็นฝ่ายไล่ต้อนอยู่ฝ่ายเดียว ”
ไกอา บรรยายใส่ไฟเต็มที่เพื่อกลบเกลื่อนความเงียบของสนามที่ เกิดเพราะทุกคนมัวแต่อึ้งกับอาการของ คิระ
“ สำรับของ เธอคนนั้นเป็นแบบเทคนิคประสานเหมือนกับ ของ ธนัท เลย ถ้าฝืนใช้กำลังบุกเข้าไปก็มีแต่จะเสียเปรียบ ”
ไดสุเกะ พูดพร้อมกันนั้น ก็เดินเข้ามาสมทบกับกลุ่มของ ธนัท ด้วยกันกับ อิส
“ แต่ว่าสำรับของ บาร์น เองก็เป็นสำรับ เน้น เทคนิค เหมือนกันนี่ ”
มิส ยกตัวอย่างบ้าง บาร์น ที่อยู่ๆก็ถูก ยกขึ้นมาเปรียบ ก็ทำเอาแสดงไม่ถูก
“ ก็ใช่อยู่หรอกแต่ของ บาร์น น่ะเน้นที่การป้องกัน แต่ของเธอคนนี้มันเป็นการตอบโต้ ”
อิส ตอบ
“ หมายความว่า ไม่เพียงแค่สกัดการบุกของอีกฝ่ายได้แต่ยัง เอาคืนกลับไปได้ด้วยยังไงล่ะ ”
ชุติการ อธิบาย ทันทีที่ เสียงประกาศของ แพน ดังขึ้น พวกเขาก็หันกลับไปดูบนเวทีกันอีกครั้ง
“ เปลี่ยนให้ อันเดอร์ เอิทธ์ เทล ไปที่ At Line แล้ว Cost Mp 1 โจมตีโดยตรงไปที่ผู้เล่น ”
แพน สั่ง อสูรตัวยาวของ เธอ เลื้อยคลานไปตามพื้นอย่างรวดเร็ว ตรงเข้าจู่โจม คิระ
“ เอาแล้วค่า ดาบแห่งพระเจ้าผู้ไม่เคยถูกโจมตีตรงๆแบบนี้ จะเป็นครั้งแรกของเค้าหรือไม่ ”
ไกอา พากย์เสียงดังลั่นอย่างลุ้นระทึก เสี้ยว วินาทีที่อสูรของ แพน จะเข้าปะทะใส่ คิระ นั้นเอง แสงสว่างอันเกิดจาก
โลหะสะท้อนกับแสง ตวัดผ่านร่างของ อสูรที่พุ่งเข้ามาจนขาดเป็นสองซีก และสลายไปในทันที
“ รีบร้อนเกินไปแบบนั้นน่ะ เอาชนะ ฉันไม่ได้หรอก ”
คิระ ย้อนคำของเธอ บัดนี้ข้างกายของเขา จักรกลสีดำซึ่งทั้งร่างเป็นเหล็กไหลมันวาว
“ อ..อะไรกันคะเนี่ย ตะกี้ ยังเป็นการโจมตีโดยตรงของ ฝ่ายนักเรียนแลกเปลี่ยนอยู่แท้ๆ พริบตาเดียว กลายเป็นว่า
คิระ พลิกกลับมาเป็นฝ่ายไล่ต้อนซะเองแล้วล่ะค่า ”
ไกอา พากย์เสียงหลง เพราะตามเกมที่พลิกผัน กันไปมาไม่ทันแล้ว
[Pan Status; Hand: Seal 3 , Mystic 2 Mp:5/8 Shrine 5/8 ]
[Kira Status; Hand: Seal 3 , Mystic 1 Mp:5/8 Shrine 2/8 ]
“ Cost Mp 3 เพื่อให้ Skill ของ ไซเบอร์ติก้า วิงค์(Cybertica Wings) ทำงาน ทำให้มันเข้ามาในสนามได้ทันที ”
คิระ อธิบาย อสูรจักรกลตัวใหม่ ที่เขาพึ่งเรียกออกมาหลังจากจัดการกับ ศัตรูแล้ว จึงบินกลับมายังสนามฝั่งเขา
ทว่า บนร่างของมันก็เขรอะไปด้วยน้ำเมือกที่ติดมาจากศัตรู
“ พิษ อีกแล้วงั้นเหรอ?! ”
ธนัท ถึงกับเผยอ ที่การสวนกลับของ คิระ นั้นกลับเป็นการทำร้ายตัวเองอีกครั้ง
“ Ability ของ อันเดอร์เอิธท์ เทล ทำงานแล้วยังไงล่ะเมื่อมันถูกส่งไปที่ Shrine จากสนามก็จะทำให้ Seal ในสนามติด Poison Curse เป็นเวลา 3 Turn ”
แพน อธิบายพร้อมกับ แสดงการ์ดเจ้าของเมือกพิษ ให้ คิระ ดู
“ แน่ใจแล้วเหรอ ว่ามันจะเป็นแบบนั้นน่ะ ”
คิระ แย้งเสียงเรียบอย่างมั่นใจ เมื่อ เมือก พิษนั้นไม่อาจกัดกร่อน ผิวโลหะของ ไซเบอร์ติก้า วิงค์ ได้
“ ไซเบอร์ติก้า วิงค์ มีความสามารถที่จะช่วยให้เผ่าเครื่องจักรทั้งหมดในสนามยกเลิก Ability ของฝ่ายตรงกันข้าม
ได้ยังไงล่ะ ”
คิระ อธิบายเพื่อคลายความสงสัยให้แก่ทุกคน ทว่าความมั่นใจที่มีต่อเกราะป้องกันอันแข็งแกร่งก็ต้องพังทลายลง
เมื่อ เมือกพิษ ที่คิดว่าไร้พิษสงไปแล้วกลับ กัดกร่อน ลึกเข้าร่างของ ไซเบอร์ติก้า วิงค์ ไปเป็นที่เรียบร้อย
“ ร่างของ ไซเบอร์ติก้า วิงค์มัน !!... ”
แอน ร้องอย่างระทึกใจ
“ กำลังละลาย ”
มิส เปรย ผิวโลหะของ ไซเบอร์ติก้า วิงค์ ค่อยๆละลายจนเกิดควันลอยฉุยไปทั่ว
“ ในจังหวะที่ อันเดอร์เอิทธ์เทล ถูกส่งไปที่ Shrine ฉันก็ให้การ์ดใบนี้ Cool Moon ทำงานยังไงล่ะ เพราะ Ability นั่น
จะทำงานก็แค่ตอนที่อยู่ใน At Line เมื่อถูก Cool Moon ทำให้ติด Freeze Curse และถอยลงไป Df Line Ability นั่นก็จะไม่ทำงาน ”
แพน กล่าวพร้อมกับ หยิบเอา มิสติก การ์ด Cool Moon ที่ถูกใช้ไปตั้งแต่ตอนไหนยั้ย ไม่มีใครรู้เลย
“ ยัยนั่นร่ายการ์ดเร็วชะมัดเลย นี่ก็ครั้งที่สองแล้ว ”
มิส พูดและเขายืนยันอย่างหนักแน่น ว่าตนจับตาดูอยู่มาตลอด แต่ก็ยังไม่ทันกับ จังหวะร่ายการ์ดของเธอเสียที
“ Surprize Technic เป็นการเล่นโดยอาศัยช่องว่างของจังหวะการทำงานในการ์ดแต่ละใบเพื่อสร้างความสับสนให้คู่อสู้น่ะ ”
มาริน่า อธิบาย
“ แต่ว่านี่น่ะเป็น เทคนิค ชั้นสูงที่ผู้เล่นจะต้องศึกษากฏมาเป็นอย่างดี เพราะ ถ้าพลาดขึ้นมาล่ะก็อาจจะแพ้ฟาล์ว
หรือทำให้ ผลที่เกิดขึ้นผิดไปจากที่ตั้งใจก็ได้นะคะ มาสเตอร์ ”
ฟรานซิสก้า แย้ง
“ รอบของฉันยังไม่หมดแค่นี้หรอกนะ Cost Mp 1 ให้ Draw of Soul ทำงานส่ง เคิสท์ สเปกเตอร์ ที่มี
ค่าร่าย 3 ไปที่ Shrine แล้วจั่ว Mystic Card ขึ้นมา 3 ใบ ”
แพน เริ่มเล่นต่อหลังจากร่าย มิสติกการ์ดออกไปแล้ว จึงส่งการ์ดซีล บนมือไปเก็บไว้ที่ช่อง Shrine แล้วจับการ์ดขึ้นมาจากสำรับมิสติก 3 ใบ
[Pan Status; Hand: Seal 2, Mystic 3 Mp:1/8 Shrine 6/8 ]
[Kira Status; Hand: Seal 3 , Mystic 1 Mp:5/8 Shrine 2/8 ]
“ Cost Mp 1 ให้ อันโฮลี่กาล์กอย(Unholy Gargoyle) ออกมาตั้งรับที่ Df Line รอบของฉันจบแล้ว ”
อสูรปีศาจค้างคาวขนาดยักษ์ ร่อนถลาลงมายังสนาม ทันทีที่ออกจากผนึกของการ์ด สองมือของมันกุมวัตถุคล้ายผลึก
ซึ่งส่องแสงสว่างได้ และเพราะผลึกนั้นหรืออย่างไร ทำให้บรรยากาศรอบๆตัวของมันนั้น มืดมัวลง
ราวกับแสงถูกดูด กลืนเข้าไปจนบริเวณนั้นกลายเป็นหลุมดำ(Black Hole)ย่อมๆเลยก็ว่าได้
สิ่งนี้ทำให้ ธนัท พาลคิดไปว่า คล้ายกับภาพลักษณะของเธอ ที่คอยแผ่รังสีชวนเสียวสันหลังนั้นไม่ต่างไปจาก หลุมดำเลย
“ รอบของฉัน ”{บนมือของเราตอนนี้มีแต่ มอเตอร์พัพเพ็ต เท่านั้น แถม ไซเบอร์ติก้า วิงค์ เองก็ติดสภาวะ
Freeze Curse ทำให้ ต่อสู้ไม่ได้อีก}
คิระ ประกาศ ตอนนี้บนมือของเขา ไม่มี การ์ดใบใด ที่จะเอาชนะ อันโฮลี่กาล์กอย ได้เลยหรือแม้แต่การ์ดที่จะ
ใช้รักษาอาการต่างๆ เขาจึงจับเอาซีลการ์ดขึ้นมาก่อน การ์ดที่จับขึ้นมาได้คือ อสูร ตัวเด็ดของสำรับ
{ การ์เดี้ยนไนท์ เหรอ….แต่ถ้าจะใช้มันก็ ต้องมี Mp มากกว่านี้บนมือของเราตอนนี้มี Lilith อยู่ถ้าใช้มันก็จะเพิ่ม Mp ขึ้นมาได้ แต่ก็ต้องวัดดวงกับการจั่วมิสติกการ์ดอีกใบ}
คิระ คิดพร้อมกับ จับเอามิสติกการ์ดขึ้นมาจากสำรับอีกใบ
[Pan Status; Hand: Seal 1 , Mystic 3 Mp:8/8 Shrine 5/8 ]
[Kira Status; Hand: Seal 4 , Mystic 2 Mp:5/8 Shrine 2/8 ]
{ ได้แล้ว…แต่ว่าจะบุกเข้าไปดีรึเปล่า ฝ่ายโน้นมี Seal อยู่ที่ Df Line ถึงจะสู้ด้วยแพ้ก็ไม่เสีย Shrine หรือจะ
รอไปจนกว่าถึงรอบหน้าเพื่อให้ ไซเบอร์ติก้า วิงค์ หายจากสภาวะ Freeze Curse แล้วใช้ Ability
รักษา Poison Curse เอาเองดีไหมนะ แต่ว่าจากรอบที่ผ่านมา คอมโบหลักของสำรับ
น่าจะยังเป็นการใช้พิษแล้วปล่อยให้ค่อยๆตายไปเอง หรือ ไม่ก็ทำลายทิ้งด้วยเงื่อนไข ถ้าอย่างนั้น ถึงจะปล่อยช้า
ไว้คงไม่ได้การ}
คิระ วิเคราะห์ จากสถานการณ์ที่ผ่านมา และการสังเกตุการเล่นของอีกฝ่าย ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจแล้ว
“ Cost Mp 1 ให้ Lilith ทำงาน ทิ้ง Poor Out ทำให้ Mp ฟื้นขึ้นมา 5 จุด ”
คิระ ร่ายมิสติก การ์ดออกไป ก่อนจะส่งมิสติกการ์ดอีกใบบนมือไปที่ Shrine เพื่อฟื้นฟูค่า Mp สำหรับปิดฉากในครั้งนี้
[Pan Status; Hand: Seal 1 , Mystic 3 Mp:8/8 Shrine 5/8 ]
[Kira Status; Hand: Seal 4 , Mystic 0 Mp:9/8 Shrine 2/8 ]
{เพิ่ม Mp งั้นรึ…แสดงว่า องค์ประกอบแห่งชัยชนะพร้อมหมดแล้วงั้นสินะ}
แพน คิดในใจ
“ ฉันจะให้เธอได้เห็นสุดยอดของพลัง Cost Mp 5 ออกมาได้เลย ดิ การ์เดี้ยนไนท์ ออฟ เลกซ์เดทีโอ ซีล
(The Guardian Knight of Lexdetheo Seal) ”
สิ้นคำ ลำแห่งแสงสว่าง ขนาดใหญ่ก็พุ่งแหวกลงมาจากท้องฟ้าสู่พื้นเวที ร่างของ อสูรจักรกลสวรรค์ขนาดใหญ่
ปรากฏขึ้นมันควงหอกในมืออย่างทะมัดทะแมงเพื่ออวดความน่าเกรงขามข่มขู่ศัตรู
[Pan Status; Hand: Seal 1 , Mystic 3 Mp:8/8 Shrine 5/8 ]
[Kira Status; Hand: Seal 3 , Mystic 0 Mp:4/8 Shrine 2/8 ]
“ ตอนนี้ผลของ วิหารแห่ง ฟรานเซสก้า ก็หมดลงไปแล้วดั้งนั้น Ability เมื่อเข้ามาในสนามจึงกลับมาทำงานได้ตามปกติ
ให้ Ability ของ การ์เดี้ยนไนท์ ทำงาน ทิ้งการ์ด เผ่าเครื่องจักร(Machine)บนมือไปใบนึงจากนั้น ก็จะได้เรียก
การ์เดี้ยน ออฟ เลกซ์เดทีโอ ซีล ออกมาได้และ มี At เพิ่มขึ้น 1 Mp Cost - 1
ฉันส่ง มอเตอร์ พัพเพ็ต(Puppet)ไปที่ Shrine แล้วเรียก การเดี้ยน ออฟ เลกซ์เดทีโอ ซีล ใบใหม่ออกมาจากสำรับ ”
คิระ ทิ้งการ์ดบนมือไปอีกใบ ก่อนจะอัญเชิญ อสูรจักรกลสวรรค์ ตัวใหม่ออกมา
“ จากนั้นด้วย Ability ของ ดิ การ์เดี้ยน ออฟ เลกซ์เดทีโอซีล ต้องแสดงการ 4 ใบบนสุดของสำรับออกมา
หากมี Mystic Card สวมใส่ก็ให้นำมันมาติดได้ 1 ใบจากทั้ง 4 ใบ ”
คิระ จับมิสติกการ์ดขึ้นมาจากสำรับ 4 ใบและแสดงให้อีกฝ่ายดู
“ ฉันเลือก Polemos Pike ติดให้กับ การ์เดี้ยนออฟ เลกซ์เดทีโอซีล แล้วส่งที่เหลือไปยัง Shrine ”
คิระ ประกาศพร้อมกับ หยิบเอาการ์ดที่เลือก โยนออกไป มิสติกการ์ดแปรเปลี่ยนเป็น หอกยาวซึ่งมีปลายแยกออกเป็นแฉก
ให้ การ์เดี้ยน ออฟ เลกซ์เดทีโอ ซีล ใช้เป็นอาวุธ
“ Cost Mp 1 การ์เดี้ยน ออฟ เลกซ์เดทีโอ ซีล โจมตี!! การกระทำของดาบศักดิ์สิทธิ์ Sacred Sword Bounding ”
อสูรจักรกลสวรรค์ ควงหอก โพเลมอส พุ่งเข้าสู่ความมืดที่ กาล์กอย ปล่อยออกมา
พริบตานั้นเอง เปลวไฟสีเขียวก็พัดวนออกมาจาก ความมืดมิดนั้น และกลืนร่างของ อสูรจักรกลสวรรค์จนสูญสลาย
“ อะไรกัน? ”
คิระ ออกปากขึ้นเองโดยอัตโนมัต เสียก่อนที่ใครจะรู้ด้วยซ้ำว่ามันเกิดอะไรขึ้น ความมืดมิดที่ กาล์กอย ปลดปล่อยออกมานั้น
ทำให้ มองไม่เห็นว่า แพน ใช้การ์ดอะไร แต่เธอ เดินออกมาจาก ความมืดมิดนั้นและ แสดงการ์ดที่ใช้ดู
[Pan Status; Hand: Seal 1 , Mystic 2 Mp:6/8 Shrine 5/8 ]
[Kira Status; Hand: Seal 2 , Mystic 0 Mp:3/8 Shrine 5/8 ]
“ เทล ออฟ อบิส(Tales of the Abyss) ทำงาน มันจะส่ง Seal ที่เรียกออกมาในรอบ(Sub-Turn)นี้
โดยไม่ได้มาจากการร่าย ไปที่ Shrine หึๆ เสียรู้จนได้น้า~~ ดาบแห่งพระเจ้า ”
แพน อธิบายขณะเดียวกัน จอมขมังเวทย์ผู้ใช้เพลิงเวทย์ เผาอสูรของ เขานั้นก็ตามออกมาจากความมืดมิดด้วย
และสลายหายไป
“ เป็นเพราะ อันโฮลี่ กาล์กอย ปล่อยคลื่นความมืดออกมาดูดเอาแสงเข้าไปหมดเลยทำให้ไม่รู้ว่าเธอใช้การ์ดอะไรบ้างแท้ๆ ”
มิส พูด
“ กลยุทธเดียวกับของ ภูเขาเลยนะ การเล่นผสานกับ Effect Cartridge(ระบบแสดงแสงผลประกอบของการอัญเชิญ)
เพื่อบดบังทัศนะของอีกฝ่ายทำให้การตัดสินใจสับสน ผนวกกับ Surprize Technic เมื่อกี้ด้วยแล้ว นักดวลที่ชำนาญการเล่นแบบกดดันผู้เล่นนี่นับว่ามีน้อยมาก ชักอยากจะรู้แล้วสิว่าเธอเป็นใครกัน ”
มาริน่า เปรยอย่างทึ่งๆ และเริ่มสนใจในตัวของ แพน ขึ้นมา
“ ไม่ใช่แค่นั้นหรอกนะ ถึงกับสามารถกดดัน คิระ แล้วต้อนให้จนมุมได้แบบนี้ คำว่ามือโปร ยังเทียบไม่ติดเลยด้วยซ้ำ ”
ศรี กล่าว
“ ถ้างั้นเจอนี่หน่อยเป็นไง Cost Mp 3 โจมตีได้ การ์เดี้ยนไนท์ และ Ability ทำงาน แสดงการ์ดเผ่าเครื่องจักร
บนมือและทำให้ค่า AT ของ การ์เดี้ยนไนท์ เพิ่มขึ้นเท่ากับจำนวนวใบที่แสดงคูณด้วย 2 บนมือของฉันมี มอเตอร์พัพเพ็ต
2 ใบดังนั้น ค่า At จึงเพิ่มเป็น 14 รับไปซะ การกระทำของหอกศักดิ์สิทธิ์ Sacred Spear Bounding!! ”
คิระ ประกาศพร้อมกับ แสดงการ์ดบนมือ อสูร ของเขาได้รับพลังเพิ่มขึ้นและบุกทะลวงอย่างดุดัน หอกศักดิ์สิทธิ์
เสียบลึกลงไปในความมืดมิดนั้น และกระชากร่างของ กาล์กอย ที่กำลังชักดิ้นชักงอ เพราะถูกแทงทะลุอก ผลึกแสงที่มัน
กอดเอาไว้ ถูกปล่อยตกและแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ พลัยความมืดมิดที่แผ่ออกจากตัวของมันก็ หายไปในทันที
[Pan Status; Hand: Seal 1 , Mystic 2 Mp:6/8 Shrine 5/8 ]
[Kira Status; Hand: Seal 2 , Mystic 0 Mp:0/8 Shrine 5/8 ]
“ จากนั้น Ability ทำงานทิ้งมอเตอร์พัพเพ็ต ไปแล้วให้ การ์เดี้ยนไนท์ โจมตีอีกครั้ง!!! ”
คิระ สั่งโจมตีอย่างต่อเนื่อง หมายจะปิดฉากทันที จักรกลสวรรค์ของเขา ไม่รอช้ายกหอกขึ้นเตรียมฟาดใส่ แพน ทั้งที่ยังมีร่างของ กาล์กอย เสียบติดอยู่
[Pan Status; Hand: Seal 1 , Mystic 2 Mp: 6/8 Shrine 6/8 ]
[Kira Status; Hand: Seal 1 , Mystic 0 Mp:0/8 Shrine 6/8 ]
“ ฝ่ายโน้น ไม่มี Seal ในสนามแล้ว ถ้าโจมตีขึ้นมือ สำเร็จล่ะก็ ”
ชุติการ พูด
“ รุ่นพี่คิระ ชนะแล้ว ”
ธนัท ฟันธง
“ น่าเสียดายจัง นึกว่านายจะมีฝีมือมากกว่านี้ซะอีก เห็นว่าเอาชนะ ทานาทอส ของฉันได้ หึๆ ”
แพน เอ่ย ก่อนที่ หอกจะฟาดลงมา ความมืดมิดแผ่พุ่งออกมา รับหอกไว้
ด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ สถิตย์อยู่ในหอก ความมืดจึงแตกสลายและกลายเป็นควันหมอกสีดำ พุ่งเข้าไปเล่นงาน
ไซเบอร์ติก้า วิงค์ ที่ถูกแช่แข็งอยู่แนวหลังของ คิระ จนแหลกเป็นชิ้นเศษโลหะในพริบตา
[Pan Status; Hand: Seal 1 , Mystic 0 Mp:0/8 Shrine 6/8 ]Win
[Kira Status; Hand: Seal 1 , Mystic 0 Mp:0/8 Shrine 9/8 ]Lose
“ นี่มัน…เรื่องอะไรกัน ”
คิระ พึมพำ แม้จะประจักษ์ด้วยสายตาของตนเอง แต่หัวใจก็ยังไม่อาจยอมรับผลที่เกิดขึ้นมานี้ได้
“ สุดท้ายดาบของพระเจ้าก็เอาชนะ ผู้ที่อยู่เหนือกว่าพระเจ้าไม่ได้จริงๆนั่นล่ะ หึๆ ”
แพน เปรย เธอยิ้มเรียบๆให้กับชัยชนะที่เกิดขึ้นในชั่วพริบตานี้ ต่อหน้าสายตาของทุกคนที่จับตาดูอยู่ซึ่งทั้ง คิระ
และพวกเขา ต่างก็ยังไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น จึงทำให้ผลการดวลออกมาเป็นเช่นนี้ มีเพียงรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
ที่ตัดพ้องไปกับ เสียงหัวเราะอันบ้าคลั่งของ ราชินีแห่งขุมนรกซึ่งผุดออกมาจากความมืด ที่เล่นงาน คิระ
To be Continue
…………………………………………………………………….
………………………………………………………………………..
Next Sub-Turn
ธนัท: หวา รุ่นพี่ คิระแพ้ซะแล้ว นักเรียนแลกเปลี่ยนคนนั้นเก่งสุดๆไปเลย กอยากจะดวลด้วยแล้วสิ
ชุติการ:หึ (งอน)
แอน:ธนัท บร้า~~ คนหลายจาย~~
ธนัท: เอ๋? เอ๋? เรื่องอะไรล่ะเนี่ย
ลูเซีย: แย่แล้ว มีพวกคนแปลกๆมาบุกโรงเรียนล่ะ
ฟ้า: สวัสดีเหล่า Master Ceremony ทั้งหลาย พวกเรา Dark Dava มาเพื่อที่จะทักทาย
ศรี:นี่มันเรื่องอะไรกัน?
เกร:มากันพร้อมหน้าเลยนะ ให้มันเริ่มขึ้นที่นี่เลยไหม การตัดสินของ เหล่าผู้อยู่เหนือพระเจ้า
ธนัท:อ๊ะอย่าตีกันใน โรงเรียนนะเดี๋ยวมันจะ…
อาจารย์บุษบา:ถ้าทำ โรงเรียนพังล่ะก็จะให้คัดการบ้าน 100 จบ
ทุกคน:หวาน่ากลัวชะมัด~~~
จูได: ตอนต่อไป รวมพล พร้อมหน้า สารท้าจากพระเจ้า Sub-Turn ที่ 32 Dark Deva !! ม่ายแห่งการต่อสู้บทใหม่เริ่มขึ้นแล้ว
โช:ลูกพี่ก็พูดเป็นการเป็นงานกะเค้าเป็นด้วยเหรอเนี่ย?
Card Pop!
Type: monster Mp: 4 / 2 Lv: 3 Rarity: rare
At: 8 Df: 9 Sp: 4 Element: dark
+[Dark] Furious Claw At 10 Mp 3
+[Dark][Dark] Furious Scratch At 11 Mp 3
Ability:
เมื่อ Curse Therion ตก Shrine จากสนาม ทำลาย Seal ที่ติด Curse 1 ใบ
อาทิตย์นี้ไม่รู้จะพูดอะไรดี งืมๆไม่มีเรื่องให้ระบายอ่า ~~~ ช่วงนี้อืดๆเฉื่อยๆชาๆ (คาดว่าหมดพลังไปเพราะโดน ดิจิเมนทัล ของเจ้า การุรุ) จะว่าไป ตอนหน้า งานอภิมหาช้าง เพราะจะโผล่หน้ามากันครบเลย T_T งืมๆ
ส่วน คิระ แพ้ยังไง เฉลยตอนหน้า เน้อ~~ ในตอนนี้ ถ้าใครอ่าน นิยายเจ๊จิง จะรู้ว่า โคทาโร่ แอบบเนียนไปอยู่บทไหน
ของเจ๊ เค้า เหอๆ(แถมเราแอบไปแจม เปลี่ยนเรื่องเขาอีก - -#) งวดเข้ามาเรื่อยๆ กับตอนยาวอีกครั้งของ Vr แล้วไหนยัง CVSE อีก โอ้ว ไม่อยากจะนึกถึงวันนั้น (Op ยังไม่ขยับเลย T_T)