Crisis Valkyrier SE (IV) ……We will be alive……..
200 ปีหลังจากมหาสงครามแห่งเทอร่า องค์กรติดอาวุธเอกชน Empyrean Adjust ได้เข้าแทรกแซง ความขัดแย้ง
ทั้งหมดบน เทอร่า นำไปสู่มหาสงครามครั้งที่สอง มหาสงคราม Delantion บทสรุปในครั้งนั้นจบลงด้วยการเจรจายุติสงครามของสองฝ่ายระหว่าง สหพันธ์โลก และ สหประชาคมโลก
………………………………………………………………………………………….
2 ปีต่อมา Empyrean Adjust ซึ่งมารวมตัวกันด้วยการชักจูงของคำทำนายแห่งพงศาวดาร โซโลมอน
และที่นั่น สหประชาคมโลกส่งกองกำลังเข้าจารกรรมอาวุธพัฒนาใหม่ขององค์กร ไครชิสเซอร์(Crisisor)
Original 7 Series ไปด้วยกันสามเครื่องต่อมา เซน่า ไฮเดย์ ผู้นำแห่งสาธารณะรัฐเมกาโทโปลิส
ถูกลักพาตัวไปโดย เรกกะ ไฮเดย์ ผู้เป็นน้อง เพื่อหนีจากการช่วงชิงอำนาจของรัฐบาล เมกาโทโปลิส
ที่ไม่เป็นกลางในขณะนั้น
………………………………………………………………………………………
เบื้องหลังผู้ชักใยเหตุการณ์ทั้งหมดคือ ซอร์ดอร์ม ลอว์เอน ประธานองค์กร ณ ปัจจุบันของ Empyrean Adjust
ได้ออกแถลงการณ์ หาแนวร่วมโค่นล้มซอร์ดอร์ม ก่อตั้งกองกำลังพันธมิตรบุกจู่โจม และการปะทะกับ พญาอสรพิษแปดเศียร ยามาตะ โนะ โอโรจิ อาวุธชีวภาพของ ซอร์ดอร์ม แม้ว่า เรกกะ และพรรคพวกจะเข้ามาช่วยจนสามารถโค่นมันลงได้
แต่ อัสโมดาย หัวหน้าแห่ง ซอร์ดอร์ม ก็หลบหนีไปได้เช่นกัน…..อัสโมดาย หนีไปพึ่งพารัฐบาล เมกาโทโปลิส
ท้ายที่สุดแล้ว กองกำลังพันธมิตร เข้าทำสงครามกับ เมกาโทโปลิส ที่ให้ความคุ้มครองกับ อัสโมดาย
…………………………………………………………………………………….
เซน่า ไฮเดย์ ได้รับ ไครซิสเซอร์ ต้นกำเนิด อาคาทซึกิคีย์เบลด และนำกำลังเข้าปกป้อง เมกาโทโปลิส
พร้อมกับประกาศล้มล้างรัฐบาลที่ให้การช่วยเหลือ อัสโมดาย และเริ่มการตอบโต้
เรกกะ ซึ่งได้รับ ไครซิสเซอร์ใหม่ จากโบราณสถานค้างฟ้าสเลปเนียร์ กลับลงสู่สนามรบ และเข้าปะทะกับ ทีมแชงกริล่าค์(Shangri-la) แห่งยานรัฟอัส ที่เหลือเพียง สเวนและซาราเบลด ราชาฟ เรล หรือ R2 ได้มอบไครซิสเซอร์ ชิ้นที่สอง
ของสเลปเนียร์ แก่ เฟนท์ นีโอเวล และส่งเขาออกสู่สมรภูมิร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับ เรกกะ บัดนี้บทสรุป
แห่งตำนานและยุคสมัยใหม่ที่กำลังจะมาถึง ได้เริ่มขึ้นแล้ว
……………………………………..
……………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………….
อีกเพียงสองสามก้าวก็จะถึงบานประตูที่นำไปสู่ห้องบัญชาการของฐานทัพ กองกำลังป้องกันตนเองแห่งเมกาโทโปลิส
หญิงสาววัยรุ่นผู้นำแห่งเมกาโทโปลิส ปลดชุดทรงมิโกะ และ อาวุธของเธอคืนสู่สภาพของ
ไครซิสเซอร์ที่มีรูปร่างเป็นดาบรูปตัวโน้ตดนตรี เบื้องหลังเธอมี นายทหารตามมาคุ้มกัน อีก สามคน
โดยคนที่เดินอยู่ด้านกลังสุดคือ คลากซ์ นายกองหนุ่มแห่งหน่วยพิเศษขึ้นตรงกับผู้นำประเทศ
“ โจน่า!! ”
ประตูห้องบัญชาการ เปิดออก หญิงวัยรุ่นผู้นำแห่ง เมกาโทโปลิส ตะคอกเธอเดินตรง ไปกระชากคอเสื้อ ชายผมสีม่วงวัยกลางคนที่อายุมากกว่าเธอซักสองปี ขึ้นด้วยมือเดียว หากไม่ใช่เพราะมือทั้งสองข้างของเขาถูกมัดไพร่หลังไว้ด้วยเชือก
เขาจะใช้มันดึงมือเธอ ออกแต่ถึงยังงั้น ชายวัยกลางคน ก็ไม่กล้าที่จะทำแบบนั้นแน่กับเธอที่สีหน้าเจือไปด้วยความ
โกรธเกรี้ยวจนเป็นเหมือนกับ พญามารสำหรับเขา
“ ท…ทำไมถึงทำกันแบบนี้ล่ะ….เซน่า~~ ”
ชายวัยกลางคน-โจน่า พูดด้วยน้ำเสียงสั่นๆ ฟันของเขากระทบกันกึกๆ ด้วยความกลัวและพยายามหลบสายตา
ฉุนเฉียวของ เซน่า ที่มองมาที่เขา
“ บอกมาเดี๋ยวนี้นะ…บอกมาว่าเจ้าอัสโมดาย นั่นมันอยู่ที่ไหน ”
เธอตะคอก เป็นอีกครั้งที่ โจน่า สะดุ้งจนตัวลอย แต่ก็หนีไปไหนไม่ได้เพราะ เซน่า จับปกคอเสื้อเขาอยู่
โจน่า ส่ายหัวเร็วๆ เป็นทำนองว่าเขาเองก็ไม่รู้ คอเสื้อของเขารัดแน่ขึ้นไปอีกเมื่อ เซน่า ใส่แรงที่ข้อมือ
กระชากให้เข้ามาประชิดจนหน้าจะติดกันอยู่แล้ว ความฉุนเฉียวสะท้อนอยู่ในดวงตาสีเขียว ที่มองด้วยควมหวั่นไหว
“ เรื่องมันไปกันขนาดนี้แล้วยังคิดจะไปปกป้องมันอีกเหรอ! ”
“ ช..ชั้นไม่รู้นะ สาบานได้..เชื่อชั้นสิ เค้ามาที่บ้านชั้นก็จริงแต่ตอนนี้ชั้นไม่รู้หรอกว่าเค้าอยู่ที่ไหน ”
โจน่า รวบรวมกำลังใจเท่าที่ยังมีเหลือตอบกลับไป อย่างกล้าๆกลัวๆ เซน่า จ้องตรงไปที่ดวงตาของ เขา
อยู่สองสามวินาที ก่อนจะหลับตาลง
“ เอาตัวออกไป! ”
เธอ พูดพร้อมกับโยนร่างของ โจน่า ให้นายทหารสองนายที่มาด้วยกันลากตัวออกไปจากห้อง
“ เปิดทุกช่องการสื่อสาร สั่งออกไปค้นหาให้หมดไม่ว่ายังไงก็ต้องลากตัว อัสโมดาย ออกมาให้ได้เข้าใจนะ! ”
เซน่า ประกาศเวลานี้ไม่ใช่เพียงแค่ ทหารของฝ่ายพันธมิตร แต่ ทางเมกาโทโปลิส ก็กลายเป็นศัตรูกับ ซอร์ดอร์ม
โดยสมบรูณ์ ถึงจะเป็นเช่นนั้น การค้นหาตัว ลอร์ดอัสโมดาย ก็ยังไม่ราบรื่นดีนัก เพราะการรบที่เริ่มกระจายวงกว้างออกไปแม้จะช้าลงไปบ้างจากการ แทรกแซงของพวก เรกกะ ก็ตาม
…………………………………………………………………..
……………………………
บนสมรภูมิใน ทะเลสาบนีรันด้า อันกว้างใหญ่เสียงปืนใหญ่ลั่นดังกึกก้องกัมปนาท ปานฟ้าร้อง ควันไฟมากมาย
ลอยโขมงจากแผ่นดินที่ลุกเป็นไฟ แม้แต่น่านฟ้าก็ยังมีการสู้รบ ทั้งจากยานเกราะ และพาหนะที่พาทหารบินเหินไปในอากาศได้อย่าง เครื่องแอคเซลแอคเซเรลาเตอร์(Axel Accelerator)
บนท้องน้ำเกลื่อนไปด้วยซากยานรบ และ เรือรบที่พังเป็นชิ้นๆ หนึง่ในบรรดาที่ล่มลงนั้น มีรัฟอัสอยู่ด้วย
เหล่าเจ้าหน้าที่ของยานแห่กันออกมาขึ้นเรือชูชีพบนดาดฟ้า เป็นการใหญ่ ภายใต้การเฝ้าจับตาดูของ
สเวน เขามองไม่เห็น เมออาร์เน่ ที่เป็นกัปตันอยู่ในกลุ่มลูกเรือที่มาขึ้นเรือชูชีพด้วยความกระรวนกระวาย
เขาเปลี่ยนไปมองหาพวกลูกเรือที่เป็นเจ้าหน้าที่ในห้องบังคับการ จนไปเจอต้นหนเรือ สาวคนหนึ่งในกลุ่ม
ที่กำลังรอขึ้นเรือ
“ นี่ กัปตัน ล่ะออกมารึยัง? ”
สเวน เดินเข้าไปถาม เธอส่ายหัวและตอบอย่างสุภาพ
“ กัปตัน ยังอยู่ในห้องบังคับค่ะ เธอสั่งให้พวกเราหนีออกมาแต่ไม่ยอมตามมาด้วย… ”
สเวน ยืนอึ้งไปกับคำตอบของเธอ สีหน้าของเขาดูกระวนกระวายมากกว่าเดิม เครื่องยนต์ปีกร่อนของชุดเกราะซึ่งตอนนี้ปีกข้างทั้งสองปีกหักไปแล้วแต่มันยังคงทำงานได้ อนุภาคแสงสีเขียว ปะทุออกมาและพาร่างของเขาให้ลอยขึ้นในอากาศ
สเวน บินอ้อมลงจากดาดฟ้า ไปยังหัวเรือและลงไปยืนบน ระนาบด้านหน้ากระจกของห้องบังคับการ
เขาเอาหน้าแนบติดกับกระจกและ เคลื่อนสายตามองหาภายในห้อง ร่างบอบบางในชุดสีขาวที่ดูคุ้นตาล้มแผ่
อยู่ใกล้กับเก้าอี้กัปตัน
โดยไม่ต้องคิด กำปั้นของ สเวน ได้เหวี่ยงกระแทกจนกระจกหน้าต่างร้าวไปครึ่งหนึ่งแล้ว
เพียงชกลงไปอีกครั้ง กระจกแตกลงทั้งบาน กลิ่นควันไฟฉุนจมูก ลอยออกมาพร้อมกับเขม่าควันที่ฟุ้งกระจายทั่วห้อง
นี่คือสาเหตุ ที่ทำให้ เมออาร์เน่ ล้มฟุบไปเพราะเธอขาดอากาศหายใจอยู่ข้างใน สเวน กระโดดลงไปบนพื้นห้อง
และวิ่งเข้าไป ยังที่ที่ร่างของ เธอนอนอยู่
“ ทำใจๆดีไว้นะ เมออาร์เน่ ”
เสียงของเขา ปลุกให้เธอตื่น สีหน้าของเธอดูอิดโรยและอ่อนเพลีย แต่เธอยังคงมีสติอยู่
สเวน แบกร่างของเธอไว้ในอ้อมกอด ทั้งคู่บิน ออกมาก่อนที่ยานจะจมลงไปทั้งลำ
ทันพร้อมกับลูกเรือที่ลงเรือชูชีพกันจนครบแล้ว พวกเขาทั้งหมดมองดูซากยานที่เคยร่วมรบด้วยกันมาตลอดจมลง
ไปใต้นาวา อย่างช้าๆ
“ ขอถามหน่อยสิ ทำไมถึงรีบออกจากห้องบังคับการล่ะ ”
สเวน ถามและจ้องเธอด้วยสายตาอยากรู้ เมอร์อาร์เน่ สำลักไอ เพื่อให้ควันไฟที่ยัตกค้างอยู่ ออกไปก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนเพลีย
“ ก่อนที่ยานจะล่ม….แค่กๆ มีข้อความจากหน่วยข่าวกรอง..อุบ แค่กๆ ”
เธอยังคงสำลักไประหว่างพูด
“ ….พวกเราถูกหลอกแล้วล่ะ..แค่ก รีบพาฉันไปที่เรือธง เราต้อง….แค่กๆ แจ้งเรื่องนี้ให้ทุกคนรู้ ”
เมอร์อาร์เน่ ล้วงมือลงไปในกระเป๋าเสื้อกาวของเธอ และดึงเอา แผ่นเก็บข้อมูลออกมา สเวน พยักหน้าอย่างเข้าใจ
“ ถ้างั้นเราไปบอกให้ ซาราเบลด ถอยกลับไปด้วย… ”
“ ไม่ได้นะห้ามบอก ซาราเบลด เด็ดขาด อุบ แค่กๆๆ ”
เมอร์อาร์เน่ รีบห้ามเขาไว้ทันที สเวน หันมามองเธอ ด้วยท่าทาง งงๆ
“ อะไรของเธออีกล่ะเนี่ย? ”
สเวน เปรย
“ ซาราเบลด เป็นคนที่เห็นด้วยกับการหลอกใช้ครั้งนี้น่ะสิ ต้องอาศัยจังหวะที่เค้ากำลังยุ่งอยู่ไปแจ้งให้ทุกคนรู้ซะก่อน
เร็วเข้าเถอะ ”
ตอนนี้เธอหายสำลักแล้วและพูดได้คล่องปร๋อ เป็นปกติ สเวน มองเธอ แล้วก็หันไปดูทาง ซาราเบลด แล้วก็หันกลับ
มามองเธอ อีกเขาทำอย่างนี้ซ้ำไปซ้ำมา สองสามรอบเพื่อชั่งใจว่าจะทำอย่างไรดี ท้ายที่สุด สเวน พาเธอบิน
ข้ามน่านน้ำตรงไปยังที่เรือธงของกองทัพพันธมิตร ลอยลำอยู่
………………………………………..
/Positron/
เสียงเครื่องจักรดังกังวาน ตามมาด้วยลำแสงอนุภาคสีเงินบีบอัดพุ่งจากหมัดของ สมิงหนุ่มในชุดเกราะวอลคีรีเออร์
สีฟ้า หมัดลำแสงนั้นเขาจงใจยิงให้โดน ซาราเบลด แต่เป้าหมายนั้นกลับหลบมันได้อย่างง่ายๆ
“ หมอนี่ไวเป็นบ้าเลย! ”
สมิงหนุ่ม-เฟนท์ สบถท่าทางหัวเสียกับความว่องไวของ ซาราเบลด ที่หลบการโจมตีของเขาได้
นั่นไม่เว้นแม้แต่ เรกกะ ที่แม้จะใช้ดาบอัลสวินระดมยิงใส่ด้วยกระสุนอนุภาคสีเงิน แต่ไม่มีกระสุนใดเข้าถึงตัว ซาราเบลด แม้แต่นัดเดียว
“ ลากูน่าเบลด! ”/Laguna Blade/
ซาราเบลด ตะโกนพร้อมกันนั้นได้ตวัดดาบคาตานะ ในมือออกสุดแรง ลำแสงโค้งรูปเสี้ยวบินตรงมา
เรกกะ ยกโล่อาร์วาค ขึ้นเสมอช่วงหน้าอกโดยให้มันยื่นห่างออกไปจากลำตัวเล็กน้อยเป็นระยะที่เว้นไว้รับแรงกระแทก
ละอองอนุภาคสีเงิน แผ่ออกจากขอบของโล่จนเกิดเป็นรัศมีป้องกันขวางทั้งร่างของเขาเอาไว้ ลำแสงดาบของ
ซาราเบลด เข้าปะทะและสะท้อนกระเด็นออกไปอย่างง่ายดาย
“ ย้ากกกกก!!!!!! ”
ซาราเบลด คำราม พุ่งเข้ามาด้วยความเร็วที่เร็วจนไม่ทันตั้งตัว แต่ เรกกะ ยกดาบของเขาขึ้นมารับไว้ทัน
ทั้งคู่ประดาบวัดพลังกันอย่างเอาเป็นเอาตาย
“ ตัวปลอมอย่างแกน่ะถึงเวลาที่ควรจะหายๆไปซักที!! ”
ซาราเบลด ตะคอกพร้อมกับบิดข้อมือกดดาบของเรกกะ ให้ลดลง ปลายดาบคาตานะ เล็งเข้าที่ช่วงอกของ เรกกะ
“ อย่างนายไม่มีสิทธิ จะมาสั่งให้ฉันหายไปหรอกน่า! ”
เรกกะ สวนแล้วถอยออกห่างจาก ระยะดาบของ ซาราเบลด ในทันที ถึงกระนั้น ตัวจริงของเขาก็ยังไม่ยอมเลิกราง่ายๆ
ซาราเบลด ตวัดดาบสร้างลำแสงเข้าจู่โจมอีกครั้ง แต่คราวนี้ เฟนท์ เข้ามาแทรกและใช้ดาบอัสไวเดอร์ เล่มโตของตัวเอง
ตัดลำแสงจนสลายได้ในดาบเดียว นี่เป็นหนึ่งในความสามารถหลักของ อัสไวเดอร์ ที่สามารถจะตัดลำแสง
หรืออนุภาคต่างๆได้ เป็นที่มาของท่า บีมเบรคเกอร์(Beam Breaker) ที่ต่อให้เป็นลำแสงทำลายพลังสูงของยานรบก็
ตัดทิ้งได้ราวกับตัดเนย
/Plasma/
เสียงเครื่องจักรกังวานก้อง จากดาบอัลสวินของเรกกะ เขาใช้มันระดมยิงกระสุนอนุภาค หลายสิบนัด ซาราเบลด
พยายามบินหลบแต่จำนวนที่มากมายของกระสุน ทำให้เขาต้องกางกำแพงแสงที่สร้างด้วยอนุภาคขึ้นมา รับกระสุน
บางส่วน แต่นั่นเป็นเพียงนกต่อ เรกกะ อาศัยจังหวะที่เขาหยุดนิ่งเพื่อป้องตัวอยู่นี้ เข้าประชิด
และฟาดดาบใส่ แต่ซาราเบลด เปลี่ยนกระบวนท่ามาตั้งรับได้ทัน ทั้งสองพลัดกันออกเชิงดาบใส่ไม่เว้นแม้แต่เสี้ยวินาที
เฟนท์ ยืนมองอยู่รอบนอกไม่มีช่องว่างให้เขาได้เข้าไปแทรกเลย ถึงกระนั้นตัวเขาก็เตรียมพร้อมอยู่เสมอ อนุภาคสีเงินซึ่ง
กระจายอยู่รอบๆตัวของเขา ถูกดึงมาบีบอัดเป็นมวลประจุแสงเอ่อล้น อยู่ที่หมัดของเขา จังหวะที่ เรกกะ ถอยฉากออกจาก
ซาราเบลด ได้แล้ว จึงสบโอกาสให้เขาได้ปล่อยหมัดนี้ออกไป แต่ลำแสงอนุภาคก็เฉี่ยวพลาดไปเพียงไม่กี่มิล
“ ประเทศแบบนี้ทวีปแบบนี้..มันมีอะไรน่าปกป้องตรงไหน พวกมันดีแต่เอาหน้ารอดไปวันๆ…เพราะแบบนี้พ่อของชั้นถึงถูกทิ้งให้ตายในสนามรบไง! ”
คำพูดของ ซาราเบลด นั้น เรกกะไม่เข้าใจบางอย่างไม่ตรงกับสิ่งที่เขารู้และบางอย่างดูมีเงื่อนงำสำหรับตัวจริงของเขา
พ่อที่ถูกทิ้งให้ตายในสนามรบ……ไม่ใช่แบบนั้น พ่อของเขาไม่ได้ถูกทิ้งให้ตายในสนามรบ จากความทรงจำของเขาซึ่งรับ
ถ่ายทอดมา ลอว์เรนซ์ พ่อของ เขาไม่สิ พ่อของซาราเบลด ไม่ได้ถูกทิ้งอยู่ในสนามรบ แต่เขาเสียสละตัวเองเพื่อ
ช่วยให้คนที่เหลือรอดหนีไป หรือบางทีความทรงจำของเขาอาจจะเป็นของปลอม ไม่….สิ่งที่ยืนยันและทำให้เขาเชื่อมั่น
ว่ามันเป็นเรื่องจริงก็คือ ตัวลอว์เรนซ์ ในอดีตที่ย้อนกลับมาในเวลานี้ เป็นคนบอกเขาเองว่าเรื่องราวมันเป็นยังไง
แต่ก็อีกนั่นล่ะ ลอว์เรนซ์ ที่ย้อนกลับมาไม่ใช่ลอว์เรนซ์ ที่อยู่ในสนามรบเมื่อตอนนั้น แต่เป็นก่อนหน้านั้น
ถึงเจ้าตัวจะรู้เรื่องจริงๆ แต่อาจจะโกหกในเรื่องนี้ก็ได้ ความจริงคืออะไรกันแน่? ตอนนี้หัวของเขา เต็มไปด้วยเรื่องให้ครุ่นคิดมากมาย
“ มันไม่ใช่แบบนั้นหรอกนะ! ”
เสียงของ เฟนท์ สลายห้วงแห่งความคิดของเขาและดึงให้กลับมายังโลกแห่งความจริง ทั้งเขา และ ซาราเบลดหยุดเพื่อ
ฟังที่ เฟนท์ จะพูด
“ นายน่ะถ้าเป็นตัวจริง….ถ้าหากว่าเป็นลูกชายของลอว์เรนซ์ ตัวจริงจะต้องไม่พูดแบบนั้นออกมาแน่ๆ ”
ซาราเบลด ทำกิริยาสบถด้วยท่าทางเย่อหยิ่ง ก่อนจะมอง เฟนท์ ด้วยสายตาจองหอง
“ อย่ามาทำเป็นรู้ดีไปหน่อยเลย พูดอย่างกับว่านายรู้จักพ่อชั้นดีอย่างนั้นล่ะ เขาน่ะตายไปตั้ง 200 ปีแล้วนะ! ”
“ ก็รู้น่ะสิ…เพราะว่าพ่อของฉัน เจนัส นีโอเวล คือสหายร่วมรบกับลอว์เรนซ์ ซาราเบลด ของนายไง! ”
ดวงตาเบิกโผลงขึ้นอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ซาราเบลด แสดงอาการออกทางสีหน้าด้วยความแปลกใจ
วินาทีนี้ เรกกะ ถึงพึ่งนึกได้ว่าหลักฐานที่จะยืนยันเรื่องความทรงจำของเขาไม่ใช่ใครอื่นไหน ไม่ใช่ทั้งตัว ลอว์เรนซ์
หรือ ซาราเบลด แต่เป็น เฟนท์ คำพูดของลูกชายสหายสนิท ไม่มีอะไรจะน่าเชื่อถือได้เท่านี้อีกแล้วในตอนนี้
เพียงแต่ ซาราเบลด ตื่นจากการหลับไหลมาได้ไม่นาน เขาไม่รู้จักเฟนท์ และ เฟนท์ คือคนทรยศต่อ องค์กรแน่นอนนั่นคือ
หนึ่งปัจจัยหลักที่ เขาจะไม่มีวันเชื่อคำพูดของเฟนท์
“ เป็นลูกชายของเพื่อนของพ่องั้นเหรอ….คำพูดของ คนทรยศอย่างแกน่ะฟังไม่ขึ้นหรอก!! อย่าคิดจะมาดูถูกพ่อ
ของชั้นนะ! ”
ซาราเบลด ขึ้นเสียงก่อนจะถลาตัวเข้าใส่ เฟนท์ ฟาดดาบคาตานะ แต่ เฟนท์ ไวพอที่จะชักออกจากหลัง อัลสไวเดอร์ดาบยักษ์คู่ใจ รับดาบของ ซาราเบลด
“ กรอด..ทำไมถึงได้ดื้อด้านแบบนี้นะ… ”
เฟนท์ ขบกรามอย่างหัวเสีย ไม่ว่าจะพูดเกลี้ยกล่อมยังไง ซาราเบลด ก็คงไม่ยอมฟังเขา
…………………………………………………………………
…………………………
ในตัวเมือง เมกาโทโปลิส บนภาคพื้นดิน ไม่มีที่ใดปลอดภัยอีกต่อไป นอกจาก เชลเตอร์หลบภัยลึกลงใต้ดิน
ไปอีก 10 เมตร ประชาชนในเมืองจากทั่วทุกสารทิศ หลั่งไหลมารวมกันอยู่หน้าทางเข้าซึ่งมีลักษณะ
เป็นอุโมงทอดยาวลงไปใต้ดิน ผู้คนเรียงแถวกันเดินลงไปในอุโมง อย่างเป็นระเบียบตามคำแนะนำของ ทหาร
แต่ก็มีอยู่คนหนึ่งที่เอาแต่โวยวาย
“ เฮ้! ทำไมชั้นจะต้องมาหลบในเชลเตอร์ของพวกราษฏร ด้วยล่ะชั้นจะไปหลบภัยที่ เชลเตอร์ของฝ่ายรัฐบาลกลางนะ ”
โจน่า แหกปากใส่ ทหารทั้งสองที่คุมตัวเขามา และแสดงท่าทางวางก้ามอย่างไม่รู้จักเวล่ำเวลา
“ หุบปากแล้วเดินๆไปเถอะน่า ตอนนี้ถ้าให้ฝ่าไปถึง รัฐบาลกลางได้ตายก่อนถึงพอดี เอ้าเร็วเข้า! ”
หนึ่งในสองนายทหาร พูดจบก็พลักไสให้ เขาเดินเข้าไปต่อแถวร่วมกับราษฏร
พวกเขาต่างหันมามองและพากันซุบซิบนินทาในตัว โจน่า แน่นอนในฐานที่ฝ่ายรัฐบาลทำตัว
ไร้เหตุผลจนบ้านเมืองต้องลุกเป็นไฟเพราะสงครามแบบนี้ ยิ่งข่าวการกลับมากู้ชาติของ เซน่า
แพร่กระจายลงมาจนถึงระดับราษฏร ทั้งหมดด้วยแล้ว โจน่า กลายเป็นตัวตลกในสายตาของพวกเขา
เด็กชายคนหนึ่งในกลุ่มผู้อพยพ แลบลิ้นปลิ้นตาใส่ เช่นเดียวกับพ่อแม่ของเด็กที่มองมาด้วยสายตาสมเพช
โจน่า ขบกราม ทั้งอับอาย ทั้งโมโหและหงุดหงิด ไม่มีใครเคารพในตัวเขาเลยแม้แต่ในฐานะมนุษย์ด้วยกันก็แทบจะไม่
มีใครยอมรับ
{จะต้องหนีไปจากที่นี่}
ความมุ่งมั่นของ โจน่า ทำให้เขาเหลือบมองไปยังทหารทั้งสองนายที่คุมตัวเขาอยู่ เฝ้ารอและรอ จนในที่สุดทหารทั้งสองคน
ก็เผลอตัว โจน่า ออกแรงสุดตัวเท่าที่จะมีได้ ชนนายทหารคนหนึ่งจนล้ม และใส่ฝีเท้าวิ่งออกจากแถวอพยพไปทันที
โดยเร็ว นายอีกคนตะโกน เรียกให้พรรคพวกที่อยู่รอบๆช่วยจับตัว โจน่า แต่เขาก็หนีไปไกลเกินกว่า จะไล่ทันเสียแล้ว
โจน่า วิ่งอย่างเต็มที่วิ่งจนลิ้นห้อยหอบหายใจ เหมือนสุนัขที่วิ่งหางตั้ง เขาวิ่งมาจนถึงที่ราบเนินสูงต่ำ
มันไกลเกินพอแล้วจากจุดที่เขาวิ่งมา ที่นี่ใกล้กับแนวรบมากและไม่มีใครอยู่ในบริเวณรอบๆนี้นอกจากเขา
เสียงระเบิดและเสียงปืน ดังมาจากอีกฟากของเนิน ไม่ใช่เรื่องฉลาดที่จะหลบอยู่ในเขตแดนที่ตายเมื่อไหร่ก็ได้
แต่ถ้ากลับไป ก็จะถูกคุมตัวอีกไม่อยากจะเป็นเป้าสายตาของพวกคนที่ดูหมิ่นเขาอีกแล้ว
โจน่า เปลี่ยนจากวิ่งเป็นเดินสบายๆ เขาเดินขึ้นไปบนเนิน เฝื่อจะมองเห็นเส้นทางที่จะนำไปสู่ฐานรัฐบาลกลาง
ที่นั่นจะมีพรรคพวกของเขา รออยู่ โจน่า แหงนเงยหน้าขึ้นฟ้าสายตาของเขาจับจ้องอยู่ที่ เกาะเต่าลอยฟ้าที่อยู่เยื้องออกไป
จากเขตสนามรบที่ยืนอยู่ นั่นคือเป้าหมาย ฐานของรัฐบาลกลางตั้งอยู่ที่นั่น สีหน้าของ โจน่า สบายขึ้น
และรีบวิ่งตรงไปยังทิศที่ เกาะเต่าลอยอยู่
เพียงแต่เสียงและแรงสะเทือนของระเบิดที่ตกมาใกล้ๆ ที่ราบแห่งนี้ ทำให้ โจน่า ชะงักฝีเท้าลมพัดเอาเขม่า
ควันและดินทรายมา ร่างของเขาจมอยู่ในหมอกเขม่าและดินทราย จนมองไม่เห็นทางเดินข้างหน้าอีกแล้ว
โจน่า ยกแขนขึ้นป้องหน้าไม่ให้ดวงตาถูกเศษดิน เขาฝืนเดินหน้าไปทั้งที่ไม่รู้ทิศทาง
เสียงหวีดคล้ายเสียงเสียงลมพัดผ่านช่องลมดังแว่วมาจากที่ไหนสักแห่ง โจน่า หยุดฝีเท้าด้วยความ
ระแวงมีอะไรบางอย่างอยู่ใกล้ๆนี้ เสียงหวีดของลมนั่น อาจจะเป็นเสียงรวมประจุพลังงานของ ปืนใหญ่
แรงลมระลอกพัดมาดั่งพายุลากเอาเขม่าควันและฝุ่นทรายให้ปลิวหายไปหมดในพริบตา
บัดนี้ห่างออกไปจากที่ โจน่า ยืนอยู่ไม่กี่สิบเมตร ยานรบลอยฟ้าสองลำ กำลังขับเขี่ยวกันอยู่ โดยที่ปืนใหญ่
ลำแสงของยานรบฝ่าย พันธมิตรเล็งยิงยานของฝ่าย เมกาโทโปลิส ซึ่งมันลอยอยู่ในอากาศเหนือหัวของเขา
โจน่า ได้แต่ยืนมอง แสงกระพริบจากมวลอนุภาคลำแสงที่จะกลายเป็น ยมมทูตพรากเอาชีวิตไปจากเขา
ทันทีที่ได้สติ เขาพยายามส่งสัญญาณบอกให้รู้ว่าอยู่ตรงนี้ทั้งโบกไม้โบกมือกระโดดโลดโผน
แต่น่าเสียดายไม่มีใครสังเกตุเห็นเขาในตอนนี้หรอก
สัญชาตญาณสั่งให้ขาของเขาวิ่งออกไปจากนี่ให้เร็วที่สุดไม่มีประโยชน์ที่จะส่งสัญญาณใดๆบอกอีกแล้ว
โจน่า วิ่งออกไปใส่แรงทั้งหมดวิ่งเต็มฝีเท้า แต่ก็ยังไปได้ไม่ไกลในวินาทีที่ ลำแสงอนุภาคพุ่งจากลำกล้องปืนยานรบ
ยานของเมกาโทโปลิส ถูกยิงเสียหายและร่วงหล่นทันที
ร่างของ โจน่า ถูกคลุมทับด้วยเงาของยานรบที่ล่มลง ไม่มีแม้เสี้ยววินาทีให้ได้กรีดร้อง
ยานรบลอยฟ้าขนาดเรือสำเภาสามลำ บี้ร่างเล็กกระจ้อยของ โจน่า จนแหลกเหลวในพริบตา………..
……………………………………………………………………………..
……………………
ท่าอากาศยานหลวง แห่งเมกาโทโปลิส คือท่าอากาศยานของรัฐบาลกลาง ตั้งอยู่บนหลังของเต่าลอยฟ้า
ห่างจากเมืองระดับภาคพื้น ไปอีกสองกิโลเมตร ภายในท่าออกยานแบ่งเป็นพื้นที่รับยานขาเข้าและพื้นที่ส่งยานขาออก
นอกจากนี้ยังมีพื้นที่ของสถานีวิจัยด้านอากาศยาน และ กรมอุตุนิยมวิทยา
แต่ภาวะสงครามขณะนี้ เจ้าหน้าที่และคนอื่นๆบน เกาะอพยพหนีออกไปหมดแล้ว เหลือแต่เพียง ทหารบางส่วน
ซึ่งสังกัดกับฝ่ายรัฐบาลกลาง และพวกกลุ่มสภาสูง ทั้งหมดก็อยู่ที่นี่ พวกเขากำลังรอ โจน่า อยู่ในท่าส่งออก
เพื่อขึ้นยานลำเลียง หนีไปพร้อมๆกัน ภายในยานนั้น อัสโมดาย นั่งรอจนเหนียนยาน และเริ่มจะหมดความอดทน
“ ช้า…ทำไมถึงได้ช้าแบบนี้ ถ้าขืนไม่รีบออกยานตอนนี้ล่ะก็.. ”
อัสโมดาย บ่นอย่างหงุดหงิด ก่อนจะชะงักฝีปากเจ้าอารมณ์ เพราะเสียงเอะอะจากนอกยาน
สายตาเจ้าเล่ห์ หันไปมองผ่านหน้าต่างจากที่นั่งของเขา ที่ท่าส่งยาน พวกสภาสูงที่ยังไม่ขึ้นมากับ ทหาร
เหล่านั้น ถูกกำลังทหารของฝ่าย พันธมิตรล้อมเอาไว้หมดแล้ว
ที่ กองกำลังของฝ่ายพันธมิตรสามารถเข้ายึดครองเกาะลอยฟ้าแห่งนี้ได้อย่างง่ายดายนั้น
เป็นเพราะการรายงานของทหารที่อยู่ในอำนาจของสภาสูงแจ้งรายงานเท็จกลับไปที่กองบัญชาการว่าที่นี่ไม่มีใครอยู่
อีกแล้วเพื่อที่จะหลบหนีได้สะดวก เพราะงั้นทางกองบัญชาการจึงไม่ได้ส่งกำลังมาปกป้องเกาะแห่งนี้เลย
และยังถอนกำลังรอบนอกของเกาะนี้ไปช่วย แนวหน้าจนหมด
“ รีบออกยานเร็ว! ”
อัสโมดาย หันไปสั่งนักบิน ด้วยท่าทางกระวนกระวาย
“ แต่ว่า คนอื่นยัง.. ”
“ ไม่มีเวลามารอไอ้พวกตัวถ่วงนั่นแล้วรีบออกยานเร็ว! ไม่งั้นทั้งแกทั้งชั้นได้ถูกพวกมันจับตัวแน่ ”
อัสโมดาย ร้อนรนแต่นักบินก็ยังคงยืนยันคำเดิมเป็นเพราะเขาไม่ได้เห็นสภาพข้างนอก ที่กองทัพฝ่ายพันธมิตร เตรียมจะเข้ามาในยานอยู่แล้ว
ด้วยรักตัวกลัวตาย อัสโมดาย ไม่คิดจะเลือกวิธีการอีกต่อไป เขาหยิบเอาสวิตซ์ ที่กำไว้ตั้งแต่ขึ้นยาน ส่งให้นักบินดู
พร้อมกับขู่
“ ใต้ฐานของเกาะนี่ฉันให้ลูกน้องเอาระเบิดไปวางไว้ก่อนจะให้หนีไป คงจะรู้นะว่าหมายถึงอะไร รีบออกยานซะ ”
นักบินกลัวคำขู่ เขาติดเครื่องยนต์ยานทันทีตามที่สั่ง ตัวยานเคลื่อนออกจากท่าอย่างช้าๆ บรรดาทหารพันธมิตรที่อยู่บนท่า
พยายามจะเกาะขึ้นยานตามไป แต่แล้วก็เกิดแรงสะเทือน อย่างรุนแรงจากด้านล่างของเกาะ จนทุกคนบนท่าล้ม
ระเนระนาด ทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น สะท้อนในดวงตาของ อัสโมดาย ซึ่งยิ้มอย่างพอใจไม่มีใครตามมาขัดขวางเขาอีกแล้ว
“ นี่เป็นของขวัญเล็กๆน้อยๆก่อนที่ชั้นจะจากพวกแกไปเสพสุขกับพระเจ้าบนสวรรค์ซะที ลาขาดล่ะนะ เจ้าพวกโง่ ”
อัสโมดาย รำพึงรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ แสยะอย่างน่าเกลียดบนใบหน้า
/คงจะไม่เป็นแบบนั้นแล้วล่ะมั้ง/
เสียงดังจากวิทยุสื่อสารและตามมาด้วยภาพของ ประธานสูงสุดแห่ง Empyrean Adjust ลอว์เอน
“ อะไรอีกล่ะ ลอว์เอน อย่าบอกนะว่าแกยังมาไม่ถึงอีก ”
อัสโมดาย หันไปตอบโต้ทันที และพูดเหมือนกับว่าตัวเขารู้จักกับ ลอว์เอน เป็นอย่างดี
/ ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องนั้นหรอกนะเพราะตอนนี้ฉันอยู่ใกล้ๆกับแกนั่นแหละ ถ้าจะห่วงก็ห่วงว่าแกจะมาถึง
รึเปล่าดีกว่ามั้ง /
ลอว์เอน พูดอย่างมีเลศนัย รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ที่เคยมีของเขาหุบลงไปทันทีความไม่ชอบมาพากลจาก
คำพูดของลอว์เอน ทำให้เขาเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาอีก
“ หมายความว่ายังไง ไหนแกบอกจะให้ชั้นไปด้วยไงล่ะ เพราะงั้นถึงได้ร่วมมือกับแกเดินหน้าแผนการนี้แล้วก็
จัดการพวกส่วนเกินทิ้งไปแล้ว.. ”
อัสโมดาย แย้งแต่ ลอว์แอน แทรกเข้ามา
/เพราะว่าแกพลาด ทำให้คนในองค์กร รู้เรื่องระหว่างฉันกับแกแล้วน่ะสิ แล้วก็อีกอย่างฉันหลอกแกไว้เรื่องหนึ่ง
ความจริงแล้วแผนการณ์ไม่ได้ปูทางไปสู่สวรรค์หรอกนะแต่เป็นการปูทางจากสวรรค์มาโลกต่างหากล่ะ….ลาขาดล่ะนะ/
สายติดต่อขาดหายไปทันที พร้อมกับเรดาห์ของ ยานส่งเสียงเตือนขึ้นมา นักบินอ่านผลการแสดงของเรดาห์
เขาหันมาแจ้งกับ อัสโมดาย ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ ข้างหลังเรามีวัตถุขนาดใหญ่ขวางอยู่ครับ เราหักหลบมันไม่ทันแล้ว ”
ดวงตาของ อัสโมดาย เบิกโผลง ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความกลัวสุดขีด ขณะหันกลับไปมองกระจกหลังของยาน
ยอดปลายแหลมคล้ายเข็มหมุดของสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ กำลังตรงเข้ามา เพียงเสี้ยววินาที ปลายเข็มหมุดยักษ์
เจาะทะลุผนังยานและบีบเข้ามาแทงยอดทะลุไปถึงหลัง ปอดของ อัสโมดาย ฉีกและตายในคาเข็มในทันที
นักบิน รีบร้อนเปิดประตูยานแล้วกระโดดหนีออกจาก ยานที่กำลังจะระเบิด แต่เขาก็ตกลงไปบี้แบนบนพื้นข้างล่างอยู่ดี
ยานระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ โดยที่ศพของ อัสโมดาย กลายเป็นจุลในกองเพลิง ค่อยๆร่วงหล่นตกจากอากาศไป
………………………………………………
จากยอดเข็มหมุดยักษ์ ซึ่งเป็นยอดจั่วหลังคาของปราสาทหินอีกที ปราสาทหินขนาดใหญ่เส้นผ่าศูนย์กลางความสูงของมัน
เกือบ 4 กิโลเมตร รอบนอกมีดาบสลักจากแร่หินโบราณ 7 เล่มเรียงเป็นแนววงแหวนล้อมรอบฐานของปราสาท
แต่ล่ะเล่ม มีขนาดประมาณเสาค้ำมหาวิหาร หลังย่อมๆรอบปราสาท อบอวลไปด้วยละอองอนุภาคสีเงิน
แบบเดียวกับละอองของ ไครซิสเซอร์ต้นกำเนิด ที่พวก เรกกะ ใช้กนัอยู่ในตอนนี้
อนุภาคห่อหุ้มทั้งหมดนั้นปล่อยออกมาจาก ดาบทั้ง 7 เล่มและขับดันให้ ปราสาทเคลื่อนที่ไปในอากาศได้อย่างอิสระ
มันลอยสูงขึ้นในทุกวินาที
…………………………………………………..
กองบัญชาการภาคพื้นเมกาโทโปลิส ความวุ่นวายถือกำเนิดขึ้นจาก รายงานเกี่ยวกับระเบิดที่เกิดบน
เกาะเต่าลอยฟ้าของทางรัฐสภา จากการระเบิดนั้นทำให้มันตกลงมาและมีวิถีการตก ไปถึงพื้นที่ของผู้อพยพ
“ จากการคำนวณฝ่ายยุทธการคาดว่า เกาะ จะตกลงไปในอีก 30 นาทีขอรับ ”
ชายแม่ทัพวัยกลางคน รายงานแก่ เซน่าด้วยท่าทีแข็งขัน
“ 30 นาที…มันไม่ได้กำลังร่วงลงมาหรอกเหรอ? ”
เซน่า นิ่วหน้าคิ้วขมวดปมด้วยความเครียด
“ จากรายงานบอกว่า เครื่องลอยตัวของเกาะยังคงทำงานอยู่บางส่วนทำให้มันค่อยๆตกลงมาน่ะขอรับ ”
“ 30 นาที…พอจะอพยพทุกคนออกมาทันรึเปล่า ”
เซน่า ถาม แม่ทัพยกกระดาษรายงานขึ้นอ่านรายละเอียดอย่างถี่ถ้วนอีกครั้ง
“ มีการสั่งลงไปให้เร่งรีบทำการอพยพแล้วล่ะครับ แต่ว่าแค่ 30 นาทีไม่เพียงพอที่จะเคลื่อนย้ายได้ทันการแน่ขอรับ ”
ดวงตาของเธอฉายประกายของความผิดหวังอยู่นิดหน่อย
“ แล้วพวกวอลคีรีเออร์ ที่ให้ไปจัดการล่ะ ”
“ ตอนนี้พวกเขาไปถึงที่หมายแล้วขอรับ ”
ขณะที่กำลังสนทนากันอยู่ ก็มีการติดต่อเข้ามาในห้องบัญชาการ เป็นสายจาก แสตกท์ นั่นเอง
ภาพจากสถานที่เกิดเหตุฉายขึ้นบนมอนิเตอร์….แผ่นดินบนหลังเต่ายักษ์ กำลังลุกไหม้และร่วงหล่นอย่างช้าๆ
“ พอได้มาดูใกล้ๆแล้วไอ้เกาะนี่มันใหญ่เอาเรื่องเลย จะทำลายมันได้จริงๆเหรอเนี่ย ”
เสียงของ อาวล์ ดังแทรกเข้ามา จากที่เกิดเหตุ เขากำลังบินสำรวจบนเกาะที่ เอียงเกือบจะตั้งฉากกับพื้น
แผ่นดินแบกรับซึ่งอาคารและศูนย์วิจัย ต่างๆกำลังเคลื่อนตัวผ่านหน้าเขาไปอย่างเชื่องช้า
“ ทางฉันเตรียมตัวพร้อมแล้วล่ะจะเริ่มเมื่อไหร่ก็ได้ทั้งนั้น ”
หนนี้เป็นเสียงของ พรายด์ ทุกคนในห้องบัญชาการกำลังมองเหตุการณ์ทั้งหมดผ่านมุมมอง
ของ แสตกท์ ที่ส่งภาพมาให้ด้วยกล้องวิดีโอมือถือของกองทัพ
“ ตอนนี้เราให้กองยานรบกับหน่วยปืนใหญ่ ตั้งกำลังรอไว้แล้ว เริ่มได้เลย ”
เซน่า ประกาศ คำสั่งออกไป
ที่สถานที่เกิดเหตุ รอบบริเวญถูกวางกำลัง ไว้ทั่ว แผมการณ์คือ พรายด์ แสตกท์ และ อาวล์ จะใช้พลังของ
วอลคีรีเออร์ ทำลาย เกาะให้แตกเป็นส่วนเล็กย่อย จากนั้นให้กองปืนใหญ่ และ ยานรบยิงทำลาย
ส่วนย่อยเหล่านั้น
……………………………………………………..
…………………..
ที่น่านน้ำทะเลสาบนีรันด้า
การปะทะ ระหว่าง เรกกะ กับ ซาราเบลด ยังคงดำเนินต่ออย่างไม่มีทีท่าว่าจะจบ แม้ต่างฝ่ายจะต่างพลัดกัน
ออกลูกเล่นทั้งหมดที่มีใส่กันไปแล้ว แต่ยังไม่มีใครคนใดล้มลงไป แม้ด้าน เรกกะ จะมี เฟนท์ คอยสนับสนุน
และเพราะพลังของ ไครซิสเซอร์ ทำให้ด้านความเร็วก่อนหน้านี้ของ เขาจะมากกว่า ซาราเบลดเสียด้วยซ้ำ
แต่ตอนนี้ ซาราเบลด ก็ปรับตัวและตามการเคลื่อนไหวของเขาได้ทัน ทั้งยังไม่ถูกภาพติดตาหลอกเอาอีกแล้ว
ตอนนี้พวกเขาต่างฝ่ายต่างหยุดดูเชิงคู่ต่อสู้กันหมดจนไม่มีใครยอมขยับตัวเลย
/Gun Del Sol/
เสียงเครื่องจักรกังวาล จากเครื่องไครซิสเซอร์ ของคนอื่นนอกจากพวกเขา กระสุนอนุภาคสีแดงทรงกลม นับสิบนัด
กระจายเข้าหา ซาราเบลด แต่ก็สามารถป้องกันไว้ได้ด้วย กำแพงพลังงาน
“ อาวุธแบบนี้..พวก เอ็กซ์เทนเดอร์ เหรอ?! ”
ซาราเบลด พึมพำ ชื่อเอ็กซ์เทนเดอร์ ที่เขาพูดถึงนั้นหมายถึงกลุ่ม วอลคีรีเออร์ ขององค์กรที่สวมชุดเกราะไครซิสเซอร์
ที่มีรูปลักษณ์ถอดแบบกันมาหมด คือชุดเกราะโลหะสวมคลุมตั้งแต่หัวจรดเท้าเหมือนอัศวิน และทวนสองปลาย
ปลายท้ายสั้น ปลายหัวยาว (Valkyrier Extender VF-035)
“ เรกกะ ซาราเบลด วางอาวุธแล้วยอมจำนนซะ ”
ทหารหนุ่มหนึ่งในเอ็กซ์เทนเดอร์ เป็นหัวหน้ากองแยกออกจากกลุ่มมาประกาศจับตัว ซาราเบลด
ทั้ง เรกกะ และ เฟนท์ ต่างสับสนและงงงวย กับเรื่องที่เกิดขึ้น ไม่เว้นแม้แต่ ซาราเบลด เองก็ยังไม่เข้าใจที่ถูกพวกเดียวกัน
ไล่ต้อนเอาแบบนี้
“ นี่มันเรื่องอะไรกัน? ”
ซาราเบลด นิ่วหน้าด้วยความเครียด บางอย่างไม่ชอบมาพากล ก่อนหน้านี้ กองกำลังรอบๆตัวเขา
ต่างก็สู้รบกับ ฝ่ายเมกาโทโปลิสอยู่ แต่ตอนนี้ไม่มีใครต่อสู้อีกแล้วยานรบทุกลำไปจนถึงเรือรบ และทหารพาหนะบิน
ไม่มีใครหรืออะไรเคลื่อนไหวอีกแล้ว และทุกสายตาในสนามรบจับจ้องมาที่เขา
ภายในยาน พอลลิดัส ฮายาเตะ และ สมาชิกยานทุกคนก็ตกอยู่ในความสับสนงงงวยไม่แพ้กัน
จนเมื่อการติดต่อจาก เรือธงของฝ่ายตรงข้ามเข้ามา ซาน ซึ่งคุมหน้าที่ต้นหนทำการต่อสายและเอาภาพคู่สนทนา
ขึ้นจอมอนิเตอร์
/นี่เป็นข้อความที่ส่งผ่านช่องการสื่อสารแบบเปิด ถึงฝ่ายเมกาโทโปลิส และ เหล่า วอลคีรีเออร์ แห่งพอลลิดัส../
ผู้ประกาศไม่ใช่ใครอื่น เมออาร์เน่ กัปตันแห่งยานรัฟอัส ที่จมไปแล้วนั่นเอง ตอนนี้เธออยู่ที่ เรือธงกับ สเวน
และทำการประกาศความจริงเบื้องหลังขององค์กร ที่เธอสืบทราบมา
/จากนี้ไปฝ่ายพันธมิตรของเรา จะหยุดทำการโจมตีและขอเจรจาอีกครั้ง เนื่องด้วยองค์ประธานแห่งสัมพันธมิตร
ลอว์เอน ต้องสงสัยว่าเป็นผู้ให้ความอนุเคราะห์ แก่ซอร์ดอร์ม ดังนั้นคำสั่งโจมตีจึงถือเป็นโมฆะ ขอให้กองกำลังทั้งหมดหยุดสู้รบและถอนกำลังกลับชั่วคราว/
“ น…นี่มันเรื่องอะไรกันคะเนี่ย งงไปหมดแล้ว ”
ไอ ถามทุกคนในยานแต่พวกเขาก็ไม่รู้เช่นกัน มีเพียงฮายาเตะ ที่นั่งคิดเงียบเพียงลำพัง ครู่ต่อมาเธอให้ ซานต่อสายตรงไปยัง เรือธงของฝ่ายสัมพันธมิตร หลังจากสายถูกต่อแล้ว เธอจึงเริ่มเจรจากับ เมอร์อาร์เน่
“ ฉัน ฮายาเตะ ไฮเดย์ กัปตันยานพอลลิดัส คุณคือกัปตันของยานรัฟอัส ที่ประกาศพักรบเมื่อซํกครู่สินะคะ เรื่องที่ว่า
ลอว์เอน ผู้ซึ่งเป็นองค์ประธานฝ่ายสัมพันธมิตร มีความเกี่ยวข้องกับซอร์ดอมเกี่ยวกับรายละเอียดในเรื่องนี้
ดิฉันอยากจะถามซักเรื่องค่ะ……แต่ก่อนจะเข้าถึงรายละเอียดเรื่องนั้น ขอถามก่อนละกันนะคะ พวกคุณรู้เรื่องเกี่ยวกับผังการจัดเรียงแสงแห่งโอดิน มั่งรึเปล่าคะ ”
………………………………………………………………..
“ ยัยผู้หญิงคนนั้น.. ”
ซาราเบลด จิกปากอย่างฉุนเฉียว เขาเสียรู้ให้แก่ เมอร์อาร์เน่ ที่ปล่อยให้เธอขุดคุ้ยความจริงจนได้
ตอนนี้เขาโดนล้อมไว้หมดแล้ว โดยเหล่า เอ็กซ์เทนเดอร์
อนุภาคจำนวนมากหลั่งไหลจากดาบห่อหุ้มทั้งร่างของ ซาราเบลด บรรดา เอ็กซ์เทนเดอร์ กระชับหอกของตนมั่น
เพื่อทำการจับกุม แต่ ซาราเบลด ทะยานหนีออกจากวงล้อมขึ้นไปในอากาศ ได้เร็วกว่า ไม่มีใครตามเขาไปได้ทัน
เบื้องล่างทุกผู้ในสนามรบต่างก็จับตามองว่า เขาจะไปที่ใดกัน จนเมื่อบางอย่างแหวกออกจากกลุ่มเมฆทางเหนือ
สายตาทุกคู่ก็ราวกับถูกสะกดให้จับจ้องอย่างเหม่อลอย ปราสาทลอยฟ้าล้อมด้วยวงแหวนดาบศิลา เคลื่อนตัว
ขึ้นสูงไปเรื่อยๆอย่างช้าๆ ซาราเบลด บินเข้าไปใน ปราสาท หลังนั้น เรกกะ ตั้งท่าจะตามขึ้นไป แต่ก็ถูกเฟนท์ ดึงให้
ไปสนใจทิศที่ เมกาโทโปลิส ตั้งอยู่
“ ที่กองบัญชาการคงจะเกิดเรื่องใหญ่ซะแล้วล่ะ ”
เฟนท์ พูดน้ำเสียงเจือไว้ด้วยความกังวล พวกเขาพึ่งจะสังเกตุว่าเรื่องใหญ่ก็เกิดขึ้นในอีกสถานที่เช่นกัน
เกาะเต่าลอยฟ้า กำลังจะร่วงหล่นลงไปยังตัวเมือง ทั้งสองรีบบึ่งตรงไปยังจุดเกิดเหตุในทันที
…………………………………………………
……………..
“ เอาล่ะนะ! เพลงดาบปีกสวรรค์ อามาโนะฮาบากิริ ”/ Ama no Habakiri/
พรายด์ ตะโกนเป็นสัญญาณ เริ่มแผนการณ์ทำลายเกาะ ที่กำลังร่วงหล่น ไครซิสเซอร์ ดาบคุซานางิแคนเบลด
ที่แขนทั้งสอง แยกปลายอ้าออกเป็นปากกระบอก อนุภาคสีเงินหลั่งไหลเข้าไปรวมในดาบ ครู่ต่อมาคมดาบแสงอนุภาค
สีเงินขนาดยาวเป็นสองเท่าความสูงของเขาหรือเกือบๆสี่เมตร พรายด์ สะบัดดาบไปมา เพื่อลองพลังของมันจนแน่ใจ
แล้วว่าควบคุมได้
พรายด์ บุกตรงเข้าไปแล้วตวัดมือซ้ายหวดคมดาบแสง ปักทะลุพื้นดินบนเกาะ เขาออกแรงลากคมดาบผ่าพื้นหินแข็ง
ไปตามแนวแผ่นดิน ไปตามท้องเต่าที่กำลังลุกไหม้ จนวนกลับมาครอบรอบอีกครั้ง เก่าค่อยๆแยกออกเป็นสองส่วน
จากแกนด้านในที่ยังเชื่อมให้ทั้งสองซีกไม่หยุดออกจากกัน พรายด์ ขึ้นไปอยู่เหนือเกาะที่เริ่มเอียง
จนเฉียงตั้งฉาก เขาประสานดาบแสงทั้งสองเล่มเข้าหากัน
พรายด์ เร่งอนุภาคให้ลุกโชนยิ่งขึ้น และพุ่งลงฟาด คมดาบผ่ากลางเกาะวนจนครบรอบเช่นเดิม และแล้ว
เกาะได้กลายเป็นสี่ส่วนย่อย พรายด์ สลายคมดาบแสง และตั้งแคนเบลดขึ้นเสมอไหล่ ยืดมันออกไปสุดแขน
ทำการเล็งเป้าหมาย
“ แปดเทพเจ้าสายฟ้ากัมปนาท ยาคูซะโนะอิคาทซึจิ ”/ Yakusa no Ikadzuchi/
แคนเบลด ประจุอนุภาคสีเงินเข้าเป็นพลังงาน ลำแสงอนุภาคพุ่งออกจากปากกระบอกและแตกระแหง เป็นเส้นแสงอีก
แปดเส้นด้วยกัน คล้ายแสงฟ้าแลบ ลำแสงทำลายซีกเกาะทั้งสี่จนกลายเป็นชิ้นๆ แต่เศษซากเหล่านั้น
ก็ยังมีขนาดใหญ่จนเป็นอันตรายที่จะปล่อยให้ตกลงไป เศษซากเกาะ ร่วงหล่นอย่างรวดเร็ว เมื่อพวกมันกลายเป็นซาก
กอองปืนใหญ่ และ ยานรบด้านล่าง เริ่มการจู่โจมเพื่อทำลายซากที่เหลือ
“ ย้าก!!! ”/Ever Blue Strike/
อุปกรณ์คล้ายจานดาวเทียมบนหลังของ อาล์ว ปล่อยแสงสีฟ้าอาบเหล่าชิ้นส่วนเกาะ ทั้งหมดเอาไว้ ชิ้นส่วนที่ต้อง
แสงเหล่านั้น ร่วงหล่นช้าลง ด้วยความสามารถในการชะลอการเคลื่อนไหวของอนุภาค อันเป็นลักษณะเด่นประจำ
ไครซิสเซอร์ จาเวลลินออฟกุลา
บรรดาเศษวากที่ร่วงหล่นอย่างเชื่องช้า ตกเป็นเป้าของหน่วยทำลายได้อย่างง่ายดาย
“ จะยิงไม่ให้เหลือเลย ”/Gaizer Gunner/
สแตกท์ เอ่ยก่อนจะลั่นไก ไครซิสเซอร์ลักษณะอาวุธแบบหน้าไม้ยิงลำแสง ซึ่งอานุภาพทำลายของลำแสงที่ยิงออกไปนั้น
มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางลำแสงที่กลืนเรือรบทั้งลำได้ อีกทั้งยังยิงพร้อมๆกันได้ถึง 5 สาย ถึงจะต้องเสียเวลา
ประจุอนุภาคมาเป็นพลังงาน เป็นอย่างมากก็ตาม แต่สำหรับการทำลายเศษซากที่ตอบโต้อะไรไม่ได้แบบนี้
นับเป็นความสามารถที่เยี่ยมยอดของ บาวกันออฟอาวาริเทีย
อย่างไรก็ดี ซากของเกาะ ยังมีมากเกินไป พวกเขาคงทำลายไม่ได้ทั้งหมด ในเวลาแค่ไม่กี่วินาที
“ เยอะขนาดนี้ถ้าตกลงไปคนได้ตายเป็นเบือแน่ ”
พรายด์ สบถนี่เป็นการเตือนใจวิธีหนึ่งของเขาให้พยายามจนกว่าจะถึงที่สุด ถึงอย่างนั้นพลังของเขา ก็ไม่เพียงพอ
หลังจากใช้พลังหมดไปกับการแยกส่วนเกาะ ตอนนี้ แคนเบลด ไม่สามารถปล่อยท่าชุดใหญ่ออกมาได้จนกว่าจะ
สะสมอนุภาคได้เพียงพอ
/Positron/
เสียงเครื่องจักรกังวาล พร้อมกับ เฟนท์ บินฝ่าซากเกาะ ที่กำลังร่วงหล่นเข้าไปยังส่วนใจกลาง
เฟนท์ กำหมัดแน่นทั้งสองมือ ตั้งการ์ดเหมือนกับนักมวย ละอองอนุภาคสีเงินรอบตัวถูกดึงมารวมยังกำปั้น
เหล็กทั้งสอง เพียงชั่วอึดใจ ในห้าวินาที เฟนท์ พุ่งหมัดชกออกไปได้ถึงร้อยครั้ง และในห้าวินาที ลำแสง
อนุภาคควบแน่นจากหมัดของ เฟนท์ เกิดขึ้น เป็นร้อยสาย ภายในห้าวินาทีเดียวกันอีกที่ เศษซากเกาะถูกทำลายจนหมด
เหลือเพียงชิ้นที่ใหญ่ที่สุด มันยัคงมีขนาดเกือบเท่ากับส่วนย่อยที่แบ่งออกเป็น 4 แม้ว่าทุกกองปืนและยานรบจะระดม
ยิงเต็มที่ ขนาดของมันก็ไม่ได้ลดลงไปจากเดิมมากนัก เฟนท์ เสียแรงไปกับการทำลายเศษเล็กเศษน้อยจนหมด
ตอนนี้ตัวเขายังต้องหอบหายใจอย่างรุนแรง เพื่อจะทรงตัวไม่ให้เสียหลักร่วงลงไป
/Saber Hyperion/
ดาบแสงอนุภาคเล่มมหึมาพาดผ่านท้องฟ้า เผาผลาญซากเกาะชิ้นเป้งให้หายไปในพริบตา
ทันเวลาอย่างฉิวเฉียด หลังจาก ปลดโหมดดาบอนุภาคแล้ว เรกกะ ถึงกับไหล่ทรุดหมดแรงพอๆกับ เฟนท์
ที่หอบหายใจถี่ขึ้นยิ่งกว่าตะกี้ ทั้งสองเร่งสุดกำลังจากสนามรบมาถึงตรงนี้แล้วยังต้องเสียพลัง
ไปกับการทำลายซากเกาะอีกด้วย นับเป็นภาระที่หนักและทำให้เหนื่อยจนสายตัวแทบขาด
แต่เรื่องวุ่นวายก็ยังไม่จบเพียงแค่นั้น เมื่อ มีสัญญาณจากยานไซเบอร์ทิก้า เรียกมาที่พวกเขาทั้งสองคน
/เรกกะ เฟนท์ อีกเดี๋ยวฉันจะขับ ไซเบอร์ทิก้า ผ่านไปแถวนั้นนะพวกนายสองคนโดขึ้นมาเลย เราไม่มีเวลาจอด
รับแล้ว ไว้ขึ้นมาแล้วจะอธิบายอีกที/
เป็น ลอว์เรนซ์ ที่ติดต่อเข้ามา เด็กหนุ่มทั้งสองถอนใจ นี่พวกเขายังต้องสู้ต่ออีกนานแค่ไหนกัน
ไม่มีเวลาให้บ่นหรือพักผ่อนนานนัก ยานมังกรเทียมไซเบอร์ทิก้า บินตรงมาแล้ว
สองหนุ่มตั้งท่าเตรียม เมื่อยานมาถึงพวกเขาถลาลงไปบน ดาดฟ้าของยานได้อย่างงดงาม
ทันทีที่ขึ้นมาอยู่บนยานอย่างแรกที่ทั้งคู่เห็นตรงกันคือ ปลดชุดเกราะออกและหาเวลาพักก่อนจะถึงเวลาสู้อีกครั้ง
หลังกลับมาอยู่ชุดปกติแล้ว เรกกะ เฟนท์ ทั้งสองเดินลงจากดาฟ้าเพื่อไปยังห้องควบคุมหลัก
ประตูห้องเปิดออก ข้างในห้องซึ่งติดตั้งแผงควบคุมยานและ มอนิเตอร์แสดงผลขนาดใหญ่ สมาชิกในห้องมี
ลอว์เรนซ์ ราชาฟ มาธิอัส และ โครโน่ รวม 4 คน หากนับพวกเขาด้วยก็เป็น 6 คน
ตอนนี้ สองหนุ่มอยากจะฟังเรื่องราวทั้งหมดใจจะขาดพอๆกับได้พักผ่อนไปด้วยในตัว
หลังจากมากันพร้อมหน้าแล้ว โครโน่ ถึงได้เริ่มอธิบายสถานการณ์ อย่างจริงจัง
“ ระหว่างที่พวกนายไปจัดการซากของเกาะลอยฟ้า เราได้เจรจากับพวกทัพสัมพันธมิตร ตอนนี้เรื่องที่เรารู้แล้วอย่างแรกคือ
การปราบซอร์ดอร์ม เป็นเรื่องบังหน้าแผนการณ์บางอย่างของประธาน ลอว์เอน แล้วก็อย่างที่สอง ป้อมปราการลอยฟ้าที่เรากำลังจะบุกเข้าไปคือ หนึ่งในโบราณสถานที่เกี่ยวข้องกับไครซิสเซอร์ เหมือน สเลปเนียร์ กับ วาลฮารา
ชื่อของมันคือ เกทออฟกินนัมกาแก็บ หรือ ประตูสู่จุดจบ ”( Gate of Ginnungagap)
ระหว่างอธิบาย โครโน่ ส่งสัญญาณบอกเป็นนัยให้ มาธิอัส เอาภาพขึ้นจอมมอนิเตอร์ บนจอตอนนี้คือภาพของป้อมปราการที่ พวกเขากำลังใกล้เข้าไปทุกขณะ
“ ป้อมปราการทั้งหลังนี่คือเกท ที่เอาไว้เชื่อมต่อสู่ภพหน้า เราสันนิษฐานกันแบบนั้นแต่เรื่องที่เรายังไม่รู้แน่ชัดคือ
เป้าหมายของ ประธานลอว์เอน แต่ถึงยังไงเราก็ต้องยับยั้งมันอยู่ดี ตอนนี้เรื่องที่ เมกาโทโปลิส ทิ้งให้พวก เซน่า
จัดการกันไปก่อนเพราะฉะนั้นคนที่จะหยุดแผนการณ์นี้ได้ ตอนนี้มีแต่พวกเราเท่านั้น ”
“ ทุกคนเราจะลงจอดแล้วนะ อาจจะไม่สวยเท่าไหร่แต่คงต้องลงแบบฉุกเฉินน่ะ เพราะเจ้าป้อมนี่ยิ่งสูงมันยิ่งเร็วขึ้นเรื่อยๆเลยถ้าบินตามไปแบบนี้เราตามมันไม่ทันแน่ ”
มาธิอัส ประกาศ ทุกคนพากันหาที่ยึดจับเอาไว้ มาธิอัส เรกกะ เฟนท์ ราชาฟ และ ลอว์เรนซ์ จับเก้าอี้ที่ตัวเองนั่งอยู่
ส่วนโครโน่ นั้นยึดตัวไว้กับเสาในห้อง ยานโคลงเคลงไปมา และสั่นอย่างบ้าคลั่ง ข้าวของในห้องพากันล้มระเนระนาด
ทุกอย่างสงบลง ยานของพวกเขาลงจอดบริเวญ ลานหอคอยปราสาทพอดี โดยที่ตัวยานลากไถกับพื้นปราสาทลอก
กระเบื้องปูพื้นออกเป็นทางที่มันไถมา
ทั้ง 6 คนลงจากยานอย่างระมัดระวัง พวกเขากวาดสายตาไปรอบๆเ ไม่มีผู้คุ้มกัน หรือใครอยู่บน ปราการแห่งนี้เลย
ประตูทางเข้าปราสาทตั้งอยู่ไม่ไกลจากที่พวกเขายืน มีเพียงสะพานเชื่อมหอคอยแคบๆ ขนาดเดินผ่านไปได้พร้อมกัน
เพียงสองคน
“ ฮี้ย~~~น…หนาวพวกนายไม่เย็นกันบ้างเหรอ ”
ราชาฟ กอดแขนแนบติดตัว ฟันกระทบกึกๆด้วยความหนาวสั่น ลมหายใจของพวกเขาเริ่มจะเป็นไอแล้ว
นั่นเพราะ ป้อมกำลังบินสูงขึ้นเรื่อยๆ มันขึ้นมาสูงจากพื้นดินมาก แม้แต่ท้องฟ้าตอนนี้ก็ไม่มีเมฆซักก้อน
ทั้ง 6 คนจ้ำอ้าวข้ามสะพานเชื่อมหอคอย ตรงไปยังปราสาททันทีไม่อย่างนั้นพวกเขาคงจะหนาวตายอยู่ข้างนอกแน่
ทันทีที่มาถึงประตูมันเป็นเพียงประตูไม้เก่าๆ ที่ปิดช่องทางเข้าเล็กๆไว้ นี่ดูไม่เป็นทางเข้าของปราสาทเลย
มันเหมือนกับ หน้าต่างของหอคอยมากกว่า
อากาศภายนอกเย็นจัดลงอย่างน่าตกใจ ขึ้นทุกขณะพวกเขาไม่สนรายละเอียดปลีกย่อยใดๆอีกแล้วนอกจาก
หนีจากความหนาวเหน็บนี้ ต่อให้ต้องตกลงไปในดงของศัตรูก็ตามที
พวกเขา เข้ามาข้างในได้สำเร็จ ข้างในปราสาทอากาศอบอุ่นและมีกลิ่นอับ อีกทั้งยังคละคลุ้งไปด้วยฝุ่น
มีเพียงแสงสว่างจากโคมไฟโบราณติดผนังไล่ไปตลอดทาง ที่จริงมันควรจะเป็นเทียนไขจุดใส่โคม แต่ที่อยากจะบอก
คือมันใช้ไฟฟ้าเป็นพลังงานไม่ต่างไปจากโคมไฟบ้านดีๆนี่เอง
สภาพภายในดูเก่าซอมซ่อ ราวกับถูกทิ้งมาเป็นปีๆ นั่นไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจแต่อย่างใด เพราะ โครโน่ บอกแต่แรก
แล้วว่านี่เป็น โบราณสถานเก่าแก่(ที่มีโคมไฟแบบใช้ไฟฟ้าเป็นพลังงาน..มีด้วยเรอะ!!)
จากห้องเล็กที่พวกเขาอยู่กันตอนนี้ มีช่องบันไดวนทอดยาวขึ้นไปหลายสิบชั้น แต่ยังไงพวกเขาก็ต้องเดินขึ้นไปอยู่
ดีต่อมีเป็นร้อยๆชั้นก็เถอะ ใช้เวลาเกือบ สิบนาที พวกเขาเดินขึ้นมาได้ครึ่งทางแล้ว และตกลงจะหยุดพัก
เหนื่อยกันซักครู่
หลังจากพักแล้ว จึงออกเดินต่ออีกครั้งยิ่งใกล้ชั้นบนสุดเข้าไป พวกเขายิ่งต้องระแวงมากขึ้น เพราะสัมผัสได้ถึง
กลิ่นอายความอันตรายที่แผ่ลงมาจากข้างบน อีกเพียงชั้นเดียว ก็จะถึงประตูของห้องชั้นบนสุดแล้ว
แต่ตอนนี้ มีคนมาขวางทางพวกเขา ไม่ใช่ใครอื่น ซาราเบลด นั่นเองโดยที่ติดตั้งชุด วอลคีรีเออร์ มาพร้อม
น่าโมโหอยู่ที่พวกเขาเข้ามาในถิ่นศัตรูแล้วแต่กลับไม่ยอมติดตั้ง ไครซิสเซอร์ รอไว้ก่อนเลย
แต่ก็โทษกันเองไม่ได้ ทั้ง เรกกะ และ เฟนท์ ต่างก็ยังเหนื่อยกับการต่อสู้ก่อนหน้านี้ และไม่อยากจะติดตั้งไปจนกว่า
จะถึงตัวประธาน หรือ จำเป็นจะต้องสู้จริงๆนั่นแหละ
“ พวกแกนี่ตามตื้อได้ตลอดเลยนะ ”
ซาราเบลด แยกเขี้ยวใส่อย่างไม่ใยดี พร้อมประคะบประคองดาบคาตานะ เตรียมจัดการพวกเขา
“ ที่นี่ให้เป็นหน้าที่ฉันก็แล้วกัน พวกนายขึ้นไปก่อนเลย”
ลอว์เรนซ์ พูดจบก็ชักดาบประจำตัวของเขาออกมารับดาบของ ซาราเบลด ตัวดาบเป็นโลหะเงาหุ้มด้วยหนังมังกรอย่างดี
นี่คือดาบของอัศวินมังกรทาลิวิลย่าในตำนาน ดาบมาคายาเดีย
ซาราเบลด มีสีหน้าตกใจขึ้นมาทันทีเมื่อได้เห็น มาคายาเดีย กับตาตัวเองเขาพึมพำออกมาโดยอัตโนมัติ
“ มาคายาเดีย..ทำไมแกถึงมีดาบที่พ่อเคยใช้ได้! ”
ซาราเบลด จ้องเขาอย่างเหม่อลอย เปิดจังหวะให้ พวก เรกกะ ชิ่งขึ้นไปได้สะดวกโยธิน
พอได้สติแล้ว ซาราเบลด เตรียมจะไล่ตามขึ้นไปขัดขวาง แต่ก็ถูก ลอว์เรนซ์ จับกระชากปกเสื้อ
เหวี่ยงไปกระแทกผนังเสียก่อน
“ ก่อนจะไปน่ะมาคุยกันตามประสาพ่อลูกซักแปปก่อนไหม… ”
ลอว์เรนซ์ เปรยพร้อมกับยื่นหน้าผากเข้ามาแนบติดหน้าผากของ ซาราเบลด เมื่อถูกปฏิบัติแบบพิสดารอย่างที่ไม่เคยพบเคยเห็นที่ไหน ซาราเบลดถึงกับยอมจำนนแต่โดยดี
…………………………………………………..
…………………………………………………………………………….
พวก เรกกะ วิ่งขึ้นมาจนถึงบันไดขั้นสุดท้ายแล้ว และผลักประตูห้องเข้าไปทันที พวกเขาทั้ง 5คนได้ก้าว
เข้าสู่ใจกลางของปราสาทแล้ว
เป็นห้องโถงกลมกระจกบนผนังห้องเชื่อมติดกันเป็นวงโค้งและสว่างไสวด้วยแสงจากโคมไฟโบราณ-แบบใช้ไฟฟ้า
ที่ติดอยู่รอบห้อง บนพื้นห้องมีลวดลายแกะสลักไว้เป็นวงแหวนและรูปดาวหกแฉก สำหรับประกอบพิธีกรรมเวทมนต์
บางอย่าง
ที่ใจกลางของห้องโถง ลอว์เอน และ เด็กสาวผู้มีใบหน้าเหมือนกับ ราชาฟ ไม่มีผิดเพี้ยน ยืนอยู่ด้วยกันบนวงเวทย์
แต่นั่นยังไม่ใช่เรื่องประหลาดใจเท่าไหร่สำหรับพวกเขาตอนนี้ สิ่งที่ดึงดูดสายตาของพวกเขาจริงๆ คือภาพทิวทัศน์ภายนอก
ที่กลายเป็นกลางคืน….ไม่ใช่มันไม่ใช่เวลากลางคืน เพียงแต่มืดสนิทจนเหมือนกับกลางคืน ยิ่งกว่านั้น
รอบนอกของปราสาทยังมองเห็นดวงดาวนับล้านๆดวง กระพริบเต็มไปหมด
พวกเขาพากันมองทิวทัศน์ข้างนอกอย่างไม่วางตา และที่กำลังมองอยู่นั้น คือผลส้มลูกใหญ่มโหราฬและมีสีฟ้า
ห่อหุ้มด้วยสีขาว มันคือผลส้มที่งดงามดั่งอัญมณี ที่ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน
ลอว์เอน ยิ้มแห้งๆให้ก่อนจะพูดกับพวกเขา ที่ยังจ้อง ผลส้มสีฟ้าข้างนอกนั่นอย่างเหม่อลอย
“ งดงามมากใช่ไหมล่ะนี่เป็นทิวทัศน์เดียวที่จะมองได้จาก กินนัมกาแก็บ ดวงดาวสีฟ้านั่น….คือ เทอร่า อย่างไงล่ะ ”
“ เทอร่า…นี่น่ะเหรอคือที่ๆพวกเรา ที่ๆสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ ”
เรกกะ เปรยเขามองดวงดาวที่เป็นบ้านเกิดด้วยความรู้เหลือเชื่อเกินจะสรรหาคำใดๆมาเปรียบเทียบ
ตั้งแต่เกิดมานี่เป็นครั้งแรก ที่เขาได้เห็น เทอร่า จากมุมมองแบบนี้เชื่อว่า อีก 4 คนที่มาด้วยกันและกำลังจ้องมอง
อยู่นี้ก็คงจะไม่เคยเห็นมาก่อนเหมือนกัน
“ ใช่เทอร่า..มันเคยเป็นดวงดาวที่งดงามที่สุดใน กินนัมกาแก็บ…ใช่แล้วเคยงดงามแต่แล้วก็มีจุดด่างพล้อย
เกิดขึ้นมา….พวกเจ้าไม่เห็นบ้างเลยหรือ จุดด่างพล้อยเหล่านั้นล้วนเกิดจากน้ำมือมนุษย์ ทั้งสงครามทั้ง
การล้างผลาญ ความโลภที่มีไม่รู้จักหมดจักสิ้นมันกำลังกัดกร่อน เทอร่า อัญมณีที่งดงามที่สุดที่ประมุขทรงสร้างขึ้นมา
แต่วันนี้ประวัติศาสตร์อันเน่าเหม็นของ มนุษย์ก็ต้องจบลงตรงนี้ เมอร่า จะถูกชำระล้าง ฉันรอเวลานี้มานานเป็นร้อยปีแล้ว
บัดนี้จะได้เริ่มกันเสียที ”
ลอว์เอน ประกาศและเริ่มทำอะไรบางอย่าง เขาดีดนิ้วเป็นสัญญาณให้ระบบของ ปราสาทเริ่มการทำงาน
ลายสลักบนพื้น เปล่งแสงเป็นสีแดงวูบวาบ
“ เอาล่ะ V2 จงปลดปล่อยออกมา ปลดปล่อยรหัสแห่งคาทราสโทฟี ”
ลอว์เอน สั่ง เด็กสาวผู้มีใบหน้าเป็น ราชาฟ ขับขานบทเพลงอันเศร้าสร้อย วงเวทย์ที่แกะสลักไว้บนพื้นห้องเองก็สว่างขึ้นเรื่อยๆเช่นกัน แสงบนวงเวทย์ วิ่งขึ้นไปบนร่างของเธอ และอาบทั้งร่างของเธอไว้ ครู่ต่อมา
ร่างกายของเธอเริ่มสูญสลายแต่ถึงอย่างนั้น เธอก็ยังร้องและร้องเพลงต่อไป เพลงซึ่งมีทำนองชวนให้โศกเศร้า
และหมดสิ้นในความหวัง ที่สุดแล้วร่างของเธอก็ได้สูญสลายไปจนหมด
ภายในปราสาทเกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ดาบศิลาที่เรียงกันเป็นวงแหวนอยู่รอบฐานป้อมปราการ
เคลื่อนตัววนไปรอบๆ และขยายรัศมีห่างออกจากปราสาท จนถึงระยะหนึ่งดาบศิลาทั้งหมดหยุดเคลื่อนไหว
แต่เปลี่ยนเป็นเคลื่อนเบนเล่มดาบให้นอนตั้งขนานไปกับฐานของปราสาทแทน
เกทออฟกินนัมกาแก็บ ในเวลานี้หากมองจากที่ไกล มันคล้ายกับดอกไม้ที่ผลิบานกลีบออก
ละอองอนุภาคสีเงิน ที่เปล่งออกจากดาบศิลาทั้ง 7 เล่มถูกดึงไปรวมกันที่ยอดแหลมบนหอคอยปราสาท
อนุภาคก่อตัวเป็นกลุ่มก้อนแสงสีเงินทอประกายระยิบระยับราวกับแสงดาว ก้องแสงกระพริบอยู่ไม่นาน
กลายเป็นลำแสงพุ่งแหวกออกไปในความมืดมิดที่ไม่สิ้นสุด เหมือนจะเป็นเพราะลำแสงอนุภาค ความมืดเริ่มบิดเบี้ยว
และแหวกออก มันกลายเป็นหลุมดำ จากขนาดเล็กเท่าจานในตอนแรกผ่านไปห้าวินาที มันขยายขนาดจนมี
เส้นผ่าศูนย์กลางยาวกว่าดวงจันทร์เสียอีก
ในใจกลางอันมืดมิดของพายุหลุมดำนั้น ปรากฏร่างสีขาวนวลผุดผ่อง และเปล่งประกายจริสแสงดั่งดวงดาว
มันกำลังผุดออกมาจากหลุดดำยักษ์ เป็นจำนวนมาก ร่างสีขาวนั้นมีปีกสีขาวคลุมด้วยขนปีก คล้ายปีกนก
และยังมีวงแหวนแสงลอยเคว้งเหนือศรีษะ รูปร่างเจ้าของปีกนกเหล่านี้ มีความคล้ายคลึงกับมนุษย์
ร่างสีขาวเหล่านี้นอกจากจะมีรูปลักษณ์คล้ายกับมนุษย์และมีปีก ร่างของพวกมันยักปกคุมด้วยสิ่งที่คล้ายกับยุทธภัณฑ์
ชุดเกราะของอัศวิน ทุกตนจะมีดาบยาวแบบลองซอร์ด(Long Sword) กันคนละเล่ม
ในอดีต ผู้คนบนเทอร่ามักจะให้การศักการะแก่ ร่างสีขาวเหล่านี้และพวกเขารู้จักพวกมันในนามของทูตสวรรค์
………………………………………………………………….
…………………………
บนเทอร่า การเจรจาหาแนวทางต่อไปร่วมกันของ กองกำลังสัมพันธมิตร และเมกาโทโปลิส กำลังดำเนินไป
อย่างราบลื่น
ที่กองบัญชาการเมกาโทโปลิส ตอนนี้ยังไม่มีใครรู้ว่า พวก เรกกะตาม ลอว์เอน ขึ้นไปบนกินนัมกาแก็บ แล้ว
“ ท…ท่านเซน่า เกิดเรื่องใหญ่แล้วขอรับ ”
แม่ทัพนายหนึ่ง วิ่งแจ้นเข้ามารายงานด้วยสีหน้าตื่นตกใจ พลอยทำให้เธอนึกสงสัยว่าในสถานะการณ์ที่พึ่งจะเริ่มสงบ
จะเกิดปัญหาอะไรขึ้นอีก
“ ข….ข้างนอก..ตอนนี้มีหลุม….ใหญ่…ใหญ่มากๆบนท้องฟ้ามีหลุมใหญ่มากๆปรากฏอยู๋ขอรับ!! ”
เซน่า เลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งด้วยความฉงน
…………………………………
ตอนนี้ผู้คนทั้งหมดบนเทอร่า ทำในสิ่งเหมือนๆกันโดยไม่มีการนัดหมายแต่อย่างใด นั่นคือแหงนหน้ามองขึ้นฟ้า
จับตาดูปรากกการณ์ประหลาดอย่างหลุมดำ ยักษ์ที่ลอยห่างออกไปนอกชั้นบรรยากาศ
………………………………….
ภายในเกทออฟกินนัมกาแก็บ ลอว์เอน กำลังยิ้มอย่างอิ่มเอมที่แผนการณ์ของตนเดินหน้าไปอย่างราบรื่น
ขณะที่ พวกเรกกะ ยืนงงเต็ก พวกเขาไม่รู้และไม่เข้าใจว่าตอนนี้กำลังจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป
ประตูห้องเปิดออกอีกครั้ง หนนี้ผู้มาเยือนคือ ซาราเบลด และ ลอว์เรนซ์ โดยที่ ซาราเบลด มีสีหน้า
คร่ำเครียดเหมือนโกรธอะไรมา เขาเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับชี้หน้า ลอว์เอน
“ ลอว์เอน นี่มันหมายความว่ายังไง แกโกหกฉันเรื่องพ่อถูกทิ้งให้ตายเพื่อหลอกใช้ฉันใช่ไหม ”
ซาราเบลด ตะคอกตอนนี้เขารู้ความจริงทั้งหมดจาอ ลอว์เรนซ์ แล้วและเป็นเดือดเป็นดาลสุดขีดจะทานทน
เมื่อรู้ว่าตัวเองถูกหลอกใช้เป็นเครื่องมือมาตลอด ลอว์เอน ยิ้มรับแห้งๆก่อนจะตอบด้วยเสียงอันดังก้อง
“ แกมันเหมือนกับ V2 เป็นแค่เครื่องสังเวยต่อแผนการณ์นี้ ไม่ต่างไปจาก อัสโมดายเท่าไหร่หรอก ถูกอย่างที่แกว่า
ฉันปลุกแกขึ้นมาเพื่อจะใช้ประโยชน์ นี่เป็นการทวงคืนตามสัญญามนุษย์ละเมิดข้อห้ามของสวรรค์และนำ อิออน ไปใช้
แถมยังเอาไปใช้ในสงครามอีก จุดจบสำหรับมนุษย์มันก็ต้องเป็นแบบนี้เท่านั้น ”
“ แก….ไอ้สารเลว! ” /Laguna Blade/
ซาราเบลด ขึ้นเสียงพร้อมกับตวัดดาบคาตานะ สร้างคมดาบอนุภาคโค้ง จู่โจม แขนของลอว์เอน ปรากฏ
ฝักดาบสีขาวเสียบดาบเล่มงาม ห้อยติดกับแขนเสื้อ เขาชักดาบออกมาปัด คมดาบแสง
ของ ซาราเบลด ได้อย่างง่ายดาย
“ ภายในกินนัมกาแก็บอันหนาวเหน็บ นี้มนุษย์อย่างพวกเจ้าไม่อาจจะทนอยู่ได้หรอก จงมองดูความพินาศ
จากนี้ไปให้สำราญใจเถอะเจ้าพวกไร้ค่า ”
ร่างกายของ ลอว์เอน เปลี่ยนไป ขนาดของร่างกายเติบโตขึ้นเป็นสองเท่า แผ่นปีกสีขาวนวลงอก
จากแผ่นหลังที่ขยายออก ผมดำยาวสลวยหลุดร่วงจนหมดและมีผมบลอนสีทองขึ้นปกคลุมศีรษะ
แทน ร่างกายห่อหุ้มด้วยยุททธภัณฑ์ชุดเกราะเต็มยศอลังการงานสร้าง
เฮมล์เม็ท(Helmelt=หมวกกันกระแทก) สีขาวคล้ายปีกนกพิราบ ลอว์เอน สวมมันลงบนศีรษะ
และรัดให้แน่นด้วยเชือกคล้อง ฝักดาบสีขาว ขึ้นห้อยแขนทั้งสองข้าง บัดนี้ร่างของ ลอว์เอน
ได้กลายเป็นเทพบุตรรูปงาม สายตาคมคายดุดันแลดูน่าเกรงขาม ร่างกายแข็งแกร่งบึกบึน
สมนักรบ ที่ปรากฏอยู่ต่อหน้าพวกเขาคือ อัครเทวทูตมิคาเอล ผู้เป็นจอมทัพแห่งสวรรค์
Archangel Michael
จอมทัพแห่งสวรรค์โบกสะบัดปีกยักษ์ของเขา แรงลมที่เกิดจากการกระพือปีกส่งให้กระจกผนังร้าวและแตกในที่สุด
เหมือนเป็นเรื่องบ้าบอ มีแรงบางอย่างจากข้างนอกดึงให้ทุกอย่างในห้องกระเด็นออกไป
จอมทัพสวรรค์ กลับโบยบินออกไปอย่างไม่ทุกข์ร้อนทิ้งให้พวกเขา ดิ้นรนหาที่ยึดเหนี่ยวไม่ให้หลุดไปกับแรงดึงที่
รุนแรงบ้าคลั่งราวกับพายุนี้
ในห้องมีเพียง ซาราเบลด ที่อยู่ในชุด วอลคีรีเออร์ แล้ว จึงสามารถต้านแรงดูดซึ่งเกิดจากการไหลรั่วของอากาศภายในห้องออกไปสู่ภายนอกที่ไม่มีอากาศของ กินนัมกาแก็บ เขาฝ่าแรงดูดเข้าไปกดสวิตซ์บนแท่นควบคุมที่ริมห้อง
โคมไฟในห้องทั้งหมดเปลี่ยนเป็นสีแดง เสียงเตือนดังหวอขึ้นมาพร้อมกับ แผ่นเหล็กเลื่อนตัวลงจากขอบหน้าต่างปิดเข้ามา
ทุกอย่างในห้องกลับเป็นปกติ ผนังเหล็กที่ปิดลงช่วยหยุดการไหลรั่วของอากาศ และเปลี่ยนสภาพเป็นจอมอนิเตอร์ ที่ฉาย
ภาพด้านนอกของปราสาทแทน
ตอนนี้ข้างนอกนั่นในความเวิ้งว้างอันมืดมิด ถูกเติมเต็มด้วยกองทัพทูตสวรรค์ จากการคาดคะเนด้วยสายตา
ไม่อาจสรุปจำนวนที่แน่นอนได้แต่มั่นใจว่าเกิน ล้านไปแล้ว
“ ในกินนัมกาแก็บ เป็นสถานที่ที่ไม่มีอากาศให้เราหายใจแล้วข้างนอกนั่นอุณหภูมิก็ลดต่ำจนเป็นน้ำแข็งได้ทันทีที่ออกไปเลย แต่ยังมีหนทางอยู่ถ้าใช้อนุภาคอิออนห่อหุ้มร่างกายไว้จะทำให้อยู่ในสภาพเลวร้ายนี้ได้ ”
ซาราเบลด พูดเสียงเรียบแต่สีหน้าของเขาก็เจือด้วยความเครียดแทน ถึงจะมีหนทางตอบโต้ตามที่ว่ามา
แต่ด้วยจำนวนของพวกเขาที่อยู่ที่นี่ ไม่มีทางต่อกรกับ กองทัพเทวทูต นับล้านข้างนอกได้แน่
ในนาทีแห่งความสิ้นหวังนี้เอง มาธิอัส เป็นคนเดียวในกลุ่มที่ เดินเข้าไปตรวจแท่นควบคุม ที่ซาราเบลด ใช้มันปิด
หน้าต่างห้อง เขากอด อกแล้วมือขวาเท้าคางทำท่าใช้ความคิด ขณะไล่สายตาดูรายละเอียดของแท่นควบคุม
หลังจากคิดอยู่นาน มาธิอัส ถึงเริ่มลงมือ มือซ้ายและขวา วางลงบนแผงวงจร นิ้วทั้งห้าขยับขึ้นลงใส่คำสั่งบางอย่างลงไป
พริบตาต่อมา บนมอนิเตอร์ที่แสดงภาพแทนหน้าต่างห้อง ก็ขึ้นรายละเอียดต่างๆเป็นภาพโครงร่างวงจร
บางอย่าง
“ งี้นี่เอง เกท นี่คือตัวขยายอนุภาคอิออน สินะเพราะงั้นผังการจัดเรียงแสงแห่งโอดิน กับ รหัสคาทราสโทฟี ถึงเป็นสิ่ง
จำเป็น แต่ว่ารายละเอียดแผนการณ์ทั้งหมดถูกเข้ารหัสไว้ นายพอจะรู้อะไรบ้างรึเปล่า ”
มาธิอัส ถาม ซาราเบลด ที่ยืนอยู่ข้างหลังโดยที่ตัวเองไม่หันมามอง แต่ยังตั้งหน้าตั้งตา เข้ารหัสที่เข้าไม่ได้
ต่อไป
ซาราเบลด ส่ายหัว “ ไม่เลย…ลอว์เอน ไม่เคยบอกเกี่ยวกับแผนการณ์ของเขาให้ฟังเลย เขาบอกแค่ว่า
ถ้าฉันช่วยเขาจะทำให้มีโอกาสแก้แค้น สุดท้ายแล้วฉันมันก็แค่เครื่องมือของเขาเท่านั้น… ”
“ แล้วนายจะปล่อยไว้แบบนี้น่ะเหรอ ”
ลอว์เรนซ์ พูด
“ …………….. ”
ไร้การตอบกลับ ซาราเบลด ไม่แน่ใจว่าเขาควรจะพูดอย่างไร จะต้องตอบอย่างไร ตลอดมาเขาแค่ทำตามคำสั่งของ
ลอว์เอน เท่านั้นไม่เคยได้คิดด้วยตัวเอง แต่ ลอว์เรนซ์ ต่างออกไปมองเขาอย่างเข้าใจ และให้สิทธิในการเลือก
แก่ตัวเขา
“ ถ้ามี V2 อยู่ด้วยล่ะก็…… ”
/เรียกดิฉันหรือคะ/
ระหว่างที่ ซาราเบลด พึมพำนั้นเอง ได้มีการตอบกลับจากลำโพงในห้อง เป็นเสียงของ V2 หรือเด็กสาวที่มีใบหน้าเหมือนกับ ราชาฟ
“ V2! นั่นเธอเหรอ….นึกว่าหายไปแล้วซะอีก ”
ซาราเบลด เงยหน้าขึ้นและพูดโต้ตอบ
/ค่ะดิฉันอยู่ที่นี่ ไม่ได้หายไปไหนเพียงแต่กลายเป็นระบบเท่านั้นค่ะ/
“ หมายความว่าประธานสารเลวนั่นเอาเธอเป็นเครื่องสังเวยให้ไอ้ปราสาทนี่ทำงานงั้นเหรอ ”
เฟนท์ ถาม
/ไม่ค่ะแต่เดิมดิฉันไม่ได้มีร่างกายอยู่แล้ว ประธานเพียงจำลองร่างกายของฉันจากรหัวพันธุกรรมของตัวต้นแบบ
เพื่อที่จะเคลื่อนย้ายรหัสแห่งคาทราสโทฟี มายัง เกท นี้ได้ค่ะ/
“ ตัวต้นแบบที่ว่านั่นคือฉันสินะ แต่ไม่เห็นเข้าใจเลยในเมื่อสร้างรหัวคาทราสโทฟี เองได้จะเอาใครมาเป็น
ภาชนะเคลื่อนย้ายก็ได้ไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมต้องส่งพวกวอลคีรีเออร์ ไปเผาบ้านเพื่อจับตัวฉันด้วยล่ะ ”
ราชาฟ ถามขึ้นบ้าง นี่เป็นข้อสงสัยสำหรับเธอและ เรกกะ มาตลอดและเป็นเหตุให้พวกเธอต้องออกเดินทาง
จนมาจบลงที่การทำสงครามกับ องค์กร
“ เพราะรหัสใช่ว่าจะเข้าร่างกายใครก็ได้น่ะสิ ถึงต้องส่งคนไปจับตัวเธอแต่จริงๆแล้วเราต้องการอะไรก็ได้ที่มีรหัสพันธุกรรม
ของเธอ อย่างเส้นผมน่ะ ”
ซาราเบลด ชิงตอบให้เธอหายข้องใจ แต่จริงๆแล้วเขาหวังเปลี่ยนเรื่องไม่ตอบคำถามของ ลอว์เรนซ์
“ ถ้างั้นเธอ…เอ่อ V2 ช่วยปลดรหัสแผนการ์ให้หน่อยได้ไหม ”
มาธิอัส พูดโดยเจือน้ำเสียงออดอ้อน หวังให้เธอใจอ่อน และได้ผลรหัสที่เขาพยายามถอดมันแทบตาย
หายไปแล้ว รายละเอียดแผนการณ์ทั้งหมดไปจนถึงวิธีใช้งาน เกท ปรากกขึ้นบนจอพึ่บพั่บ อย่างล้นหลาม
มาธิอัส มองข้อมูลพวกนั้นจนตาค้าง มันมากมายซะจนเขาไม่คิดว่าจะอ่านได้หมด
“ โครโน่ นายมาช่วยฉันหน่อยสิ ถ้าต้องอ่านหมดนี่ มนุษยชาติคงจบสิ้นแน่ ”
มาธิอัส กวักมือเรียก โครโน่ ถอนใจอย่างเซ้ง แต่ก็ตามมาช่วยเขาจัดการกับ ไฟล์ข้อมูลมหาศาลบนจอ
“ ถ้างั้นระหว่างนี้ เราไปสะกัดพวกข้างนอกก่อนเถอะ ”
เรกกะ หันไปพูดกับ เฟนท์ จากนั้น สองหนุ่มหยิบเอา ไครซิสเซอร์ ของตัวเองขึ้นมา
“ อวาทรานซ์!! ”
หลังจากติดตั้งชุดเกราะเป็นที่เรียบร้อย ทั้งคู่ก็พร้อมจะออกสู่สนามรบแล้ว มาธิอัส ป้อนคำสั่ง
ให้เตรียมเปิดหน้าต่างห้องอีกครั้ง เมื่อ เรกกะ และ เฟนท์ ห่อหุ้มร่างกายไว้ด้วยอนุภาคสีเงินของพวกเขาแล้ว
มาธิอัส จึงโบกมือให้สัญญาณพร้อมกับกดสวิตซ์
มอนิเตอร์รอบห้องยกตัวเปิดออกสู่ด้านนอก อากาศภายในรั่วไหลออกและพยายามโยนทุก
อย่างในห้องออกไป เรกกะ เฟนท์ ทั่งสองทะยานออกไปอย่างเร่งรีบ มาธิอัส จึงกดสวิตซ์ให้มอนิเตอร์
เลื่อนปิดอีกครั้ง
“ ขอถามอะไรหน่อยได้ไหม V2 ”
ราชาฟ เงยหน้าขึ้นพูดกับ ระบบ
/ยินดีค่ะ/
“ ตลอดเวลา ที่เธอเป็นมนุษย์ เธอได้รับการปฏิบัติแบบไหนกัน ”
ไร้การตอบกลับอยู่นานเนื่องจาก เธอกำลังประมวลผล
/ท่านประธานให้ ดิฉันทำตามคำสั่งเท่านั้นนอกจากนั้นแล้วจะทำอะไรก็ได้โดยไม่เกินเลยคำสั่ง/
ราชาฟ ก้มหน้าลงถอนใจ เหมือนจะบอกเป็นนัยว่าเดาคำตอบของเธอถูก
“ แล้วตอนนี้เธอยังต้องทำตามคำสั่งของเขาอยู่รึเปล่า ”
V2 ใช้เวลาประมวลผลนานอีกตามเคยก่อนจะให้คำตอบ
/ไม่ค่ะ ตอนนี้การยืนยันตัวตนของประธานหายไปแล้ว แต่ดิฉันจะทำตามคำสั่งต่อไป/
“ คำสั่งของใครล่ะ ”
/………………………/
หนนี้เธอใช้เวลาประมวลนานมาก นานเสียจนทุกคนคิดว่าเธอคงจะไม่ตอบแล้ว
“ งั้นจากนี้ไปเธอคิดด้วยตัวเองก็แล้วกันนะ ”
ราชาฟ พูดอย่างอ่อนโยน
/แต่….ดิฉันไม่รู้ว่าจะคิดด้วยตัวเองอย่างไร ดิฉันไม่สามารถตัดสินใจด้วยเองได้ค่ะ/
“ งั้นก็มาเรียนรู้สิ มาเรียนรู้ไปพร้อมๆกับฉันแต่ว่ามีอย่างหนึ่งที่เธอจะต้องเข้าใจด้วยตัวเอง เพราะที่นี่ตอนนี้เธอ
ก็คือเธอฉันก็คือฉัน แม้ว่าเธอจะได้รับความนึกคิดหรือนิสัยไปจากฉันแต่เธอก็ไม่ใช่ฉันเข้าใจนะ ”
/ค่ะ มาสเตอร์ ยืนยันการตอบสนองคำสั่งของ ราชาฟ ราเอล ให้เป็นมาสเตอร์ เพื่อทำการเรียนรู้และปรับปรุง
ข้อมูลตรรกะใหม่อีกครั้ง/
โคมไฟทั้งห้องเปลี่ยนเป็นสีเขียวราวกับเป็นการแสดงอารมณ์ของ V2 ที่ตอบรับคำขอของ ราชาฟ
“ เอ้า มาธิอัส นายเข้าใจวิธีหยุดไม่ให้พวกข้างนอกนั่นผุดออกมาได้รึยัง ”
ราชาฟ หันไปถามความคืบหน้าของ มาธิอัส และ โครดน่ ที่กำลัง ตีความรายละเอียด
ของไฟล์ข้อมูลทั้งหมดอยู่
“ ไม่ไหวฉันลองค้นดูหมดแล้วนะไม่มีวิธีปิด ประตูข้ามของพวก เทวทูตนั่นเลย ”
มาธิอัส ตอบด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล ราชาฟ เบือนสายตาจาก มาธิอัส ขึ้นไปมองเพดานห้อง
“ แล้วเธอล่ะ V2 ”
/ดิฉันเองก็ไม่สามารถทำได้ค่ะ ลักษณะการบิดเบี้ยวของมิติอาจจะเกิดจากการทำงานของระบบ แต่ผลลัพท์นั้น
อยู่นอกเหนือการควบคุมค่ะ/
ดูเหมือนจะหมดสิ้นหนทางในการยับยั้งศัตรูแต่พวกเขายังคงไม่ทิ้งความหวัง ราชาฟ หยุดคิดอะไรบางอย่าง
และแล้วเธอก็ปิ๊งขึ้นมา
“ นี่มาธิอัส นายบอกว่านี้เป็น เครื่องขยายอิออน ใช่ไหมถ้างั้นเราใช้ประโยชน์จากมันไม่ได้เลยเหรอ ”
มาธิอัส หันมามองเธอสายตาของเขาฟ้องอยู่เป็นนัย….นี่เธอคิดจะทำอะไรแผลงๆอีกรึไง
ราชาฟ ยักไหล่ เธอไม่สนอยู่แล้วว่าเขาจะมองยังไง แต่นั่นล่ะคือสิ่งที่เธอคิด
“ เอาก็เอาว่าแต่เธอจะทำมันยังไงล่ะ รหัสคาทราสโทฟี ก็ไม่ได้มีอยู่ในตัวเธอแล้วนี่ ”
“ เรื่องแค่นั้นอย่างนายจัดการได้อยู่แล้วล่ะน่า ที่ฉันต้องทำน่ะก็แค่ร้องมันออกมาไม่ใช่เหรอ ”
ราชาฟ มองเขาด้วยสายตาที่เชื่อมั่น….แต่มันเป็นภาระที่ดูจะหนักหนาเอาการแต่ก็มีความเป็นไปได้ที่สูงอยู่
วินาที มาธิอัส ได้เริ่มเตรียมการบางอย่างตามที่ เธอขอทันที
“ อะไรของเจ้าพวกนี้กันนะ มาถึงขั้นนี้แล้วยังจะมีหวังอยู่อีกรึไง ”
ซาราเบลด มองตาค้างขณะพยายามทำความเข้าใจกับ สิ่งที่พวกเธอทำในตอนนี้
“ ก็เพราะพวกนี้น่ะเป็นพวกบ้าที่ทำทุกอย่างเพื่อไปให้ถึงวันพรุ่งนี้อย่างไงล่ะ ต่อให้พระเจ้าพิโรธหรือเทอร่าดับสูญ
แต่ถ้ายังมีหนทางที่จะไปถึงวันพรุ่งนี้ก็ต้องมุ่งหน้าต่อไป ”
ลอว์เรนซ์ พยายามอธิบาย
“ แล้วนายล่ะไม่อยากไปให้ถึงบ้างเหรอวันพรุ่งนี้ของตัวเองน่ะ ”
ซาราเบลด มองมาที่ ลอว์เรนซ์ อย่างเหม่อลอย ตอนนี้เขาวกกลับมาคำถามที่ค้างอยู่อีกครั้ง หลังจากนึกอยู่นาน
เขาก็ตัดสินใจได้
ลอว์เรนซ์ มองดูเขาอย่างเข้าใจ และชักดาบมาคายาเดีย ออกมา
“ ถึงจะไม่มีอนุภาค แต่ถ้าเป็นเทพก็น่าจะพอถูไถล่ะนะ ”
ลอว์เรนซ์ เปรยดาบของเขาเปล่งแสง ร่างกายเปลี่ยนเป็นเกล็ดมังกรสีน้ำตาลออกทอง บัดนี้ตัวเขาคือ
อัศวินมังกรเทพทาลิวิย่า
Thaliwilya, the God of Dragoon
“ อย่างที่พูดเสมอ ความกล้าคือดาบที่จะฟาดไปสู่อนาคต ไปสู่วันพรุงนี้ ”
…………………………………………………………………………….