ติดตามตอนก่อนหน้าได้ที่ http://www.stmagnusgame.com/webboard/viewtopic.php?f=15&t=28485
ณ พื้นที่แห่งไกลไปยังทิศอีสานอันแห้งแล้งด้วยทะเลทราย
อาณาจักรซาโลม ซึ่งกลายเป็นจักรวรรดิ์ซาโลม ได้ตั้งตระหง่านแสดงแสนยานุภาพแห่งจักรพรรดิ์องค์ปัจจุบันได้อย่างภาคภูมิใจ ทั้งเป็นที่ครั้นคร้ามของเหล่าอาณาจักรทั้งปวงในทวีปเมอร์ริเซีย และทั่วแผ่นดินเทอร์ร่า
ในเขตวังหลัง อันเป็นที่ประทับของเหล่าพระราชวงศ์ฝ่ายใน ได้ปรากฏมีสวนหย่อมอันสวยสดงดงามที่สุดในพระราชวังอันโอฬาร อีกทั้งยังเป็นเขตสงบที่สุดในจักรวรรดิ์ซาโลม ด้วยเพราะเป็นส่วนหนึ่งของพระตำหนักพระพันปีหลวง พระราชชนนีแห่งองค์จักรพรรดิ์พระองค์ปัจจุบัน
แต่เดิม สวนแห่งนี้เป็นสวนหลวงขององค์จักรพรรดิ์อิสฮาน ซึ่งมักจะทรงมาปลงพระทัย มองหาความสงบในที่แห่งนี้ ยามต้องทรงพบกับปัญหาราชกิจที่แก้ไขได้ยากยิ่ง และเป็นที่เดียวของพระองค์ ที่เป็นพื้นที่แห่งความทรงจำตั้งแต่วัยเด็กของพระองค์ ทั้งการช่วยเหลือพระสหาย ทั้งการเรียนใต้ต้นไม้กับท่านรัฐบุรุษ มหาอำมาตย์นาริส สุไลมาน ผู้ล่วงลับไปนานแล้ว ภาพเหล่านั้น ยังแฝงในกลิ่นอายของสวน แต่ว่า...
ไม่มีองค์จักรพรรดิ์อิสฮานอีกต่อไปแล้ว... ไม่มีอีกแล้ว...
หากแต่เป็นของพระนางซูไลก้า พระจักรพรรดินีพันปีแห่งซาโลมนั่นเอง
วัันนี้... พระนางทรงได้ออกมาเดินชมสวนดอกไม้อย่างสงบอีกครั้งอย่างเคย หากเพียงแต่คราวนี้ พระองค์กลับทรงเอาแต่ทอดถอนพระทัย อย่างระคนกำลังปลงในความไม่จีรังของพระองค์เอง
เมื่อหลายปีก่อนนั้น.. มีข่าวด่วนลับ ส่งมาจากอาณาจักรฟูดินัน เป็นข่าวการสิ้นพระชนม์ของเจ้าหญิงวานาอัน ท่านหญิงแห่งฟูดินัน พระสหายสนิทของพระองค์ คู่แข่งทางหัวใจของพระองค์ ที่บัดนี้พระองค์ทรงได้ละวางไปนานแล้ว จดหมายนั้น ได้เขียนด้วยลายมือของ "เขาคนนั้น" ที่จากเธอไปนานแล้ว กล่าวถึงความวิปโยคอย่างใหญ่หลวงในใจของเขาคนนั้น คำตัดพ้อด้วยความเจ็บปวดที่เขียนลงในจดหมายนั้น ทำให้พระนางรู้สึกเจ็บปวดด้วยเช่นกัน นางได้แต่อ่านด้วยความเจ็บปวด และเศร้าโศกอย่างที่สุด เพราะว่าอีกไม่ช้า เวลาของพระนางจะมาถึง
"เวลานั่นใกล้มาถึงแล้ว เขาคนนั้นกำลังจะกลับมา แต่จะทันเวลาที่ข้าจะได้ร้องขอการอภัยครั้งสุดท้ายจากเขาได้หรือเปล่านะ"
ซูไลก้าได้รำพึงออกมาด้วยความระทม ความสงบในอุทยานหลวง ทำให้นางหวนคิดถึงช่วงเวลาเก่า ในช่วงตอนเธอนั้นได้เป็นหนึ่งในผู้ติดตามประกาศก ยังเป็นแค่ "ซาลิม่า" นักรบหญิงธรรมดา ไม่ใช่ "ซูไลก้า" เจ้าหญิงแห่งลาซาล และตอนที่อิสฮานได้รับคำขออยู่กับนางเจ็ดปี จนนางได้ทำการอันเลวร้ายที่สุดลงไป ล่วงมาถึงการร้องขอให้เขาอภัยต่อนาง และการจากไปของเขา...
นางรู้สึกเจ็บปวดเมื่อคิดถึงมัน หากแต่ระงับลงไปได้ ด้วยการกำเนิดบุตรชายคนเดียวของนาง...
อิสมาคาอิน กำเนิดขึ้นมาท่ามกลางความรักของมารดาและบิดาผู้ประชวรหนัก พระองค์เป็นพระโอรส ผู้ได้สืบทอดความเก่งกล้าแห่งพระอัยกาทั้งสอง ซาดินและเยซีฮาน ผู้ต่างได้ล่วงลับไปแล้ว และความปรีชาญาณ ผ่านทางพระปัยกาอิบริดและจักรพรรดิ์อิสฮาน นี่เป็นของขวัญที่สวรรค์ส่งลงมาให้ซาโลม ปลอบประโลมความทุกขเวทนาแห่งมหาสงคราม แสงสว่างได้ส่องลงมาบนแผ่นดินซาโลมอีกครั้ง หลังจากมืดมนไป เนื่องด้วยอาการประชวรขององค์จักรพรรดิ์อิสฮาน
และหลังจากได้สถาปนาอิสมาคาอินเป็นจักรพรรดิ์ โดยมีพระนางเสด็จขึ้นว่าราชการหลังม่านแล้ว จักรพรรดิ์อิสฮานได้สวรรคตลงไปในเวลาต่อมาไม่นาน นั่นสร้างความวิปโยคให้กับตัวนาง และโอรสของนางยิ่งนัก ทั้งซาโลมต่างได้แสดงความเสียใจ ต่อการสูญเสียจักรพรรดิ์ผู้เป็นที่รัก...
หากแต่นางรู้ดี... ว่าความจริงเป็นเช่นไร
นางเก็บงำมาโดยตลอด นางสาบานจะขอเก็บเอาไว้จนกว่านางจะสิ้นลม
นางคิดอย่างนั้น...
ห้วงคำนึงของนาง คิดแต่เรื่องนี้มาโดยตลอด และถึงเวลาที่จะต้องเผยควมจริงนั้นให้โอรสของนางได้รู้...
และในขณะนั้นเอง
"เสด็จแม่"
"ฝ่าบาท"
"เดี๋ยวก่อน...เสด็จแม่ อย่าเรียกข้าว่า [ฝ่าบาท] เลย นั่นมันฐานะตอนนั่งบนบัลลังก์เท่านั้น ตอนนี้... ข้าเป็น [อิสมาคาอิน] บุตรชายที่ต้องการความอบอุ่นจากมารดา เนื่องจากอาการอ่อนล้าจากราชกิจต่างหาก"
"ลูกแม่..."
อิสมาคาอิน องค์จักรพรรดิ์แห่งซาโลม มักจะทรงเสด็จพระดำเนินมายังอุทยานหลวงในยามเสร็จราชกิจทุกครั้ง และในครั้งนี้ด้วยเช่นกัน พระองค์ทรงมาในสภาพอิดโรยจากราชกิจที่หนักหน่วงยิ่ง และยิ่งเมื่อรู้ว่า พระมารดาของพระองค์ ที่ตัวพระองค์ไม่ค่อยจะได้พบกันในอุทยานบ่อยนัก ได้มาอยู่ที่นี่ พระองค์จึงทรงรีบมา เพื่อขอกำลังพระทัยจากพระมารดาของพระองค์
ทำเอาซูไลก้าต้องย่นหน้าด้วยความประหลาดใจ และดุพระโอรสของพระนางด้วยเสียงบ่งบอกว่าไม่ได้โกรธเลยเลยแม้แต่นิดเดียว
"ลูกเอ๋ย...แต่กระนั้น ใช่ว่าลูกจะมาเรียกในขณะแม่อยู่ในภวังค์ได้นะ แม่ตกใจหมด อีกอย่าง...ต่อให้เป็นอย่างนั้น ลูกจะมาอ้อนแม่แบบเด็กๆไม่ได้อีกแล้ว เป็นกษัตริย์แห่งแผ่นดินแล้วนะลูก"
"ตัวลูกรู้ขอรับ แต่ลูกใคร่อยากได้ความอบอุ่นจากมารดา มาปลอบประโลมใจของลูก ให้ได้หายจากความหนักหน่วงในราชกิจ ไม่นึกเลยว่าเป็นจักรพรรดิ์ เป็นราชา มันจะลำบากขนาดนี้"
"นั่นแหละ...ลูกแม่ นั่นคือ หน้าที่ อันเป็นภาระที่ลูกต้องดูแลและบริหาร เสด็จทวดอิบริด เสด็จตาเยซีฮาน เสด็จปู่ซาดิน และองค์อิสฮาน เสด็จพ่อของลูก ทุกพระองค์ล้วนแต่แบกรับภาระในการพาชาติบ้านเมืองไปสู่ความรุ่งเรือง และตอนนี้ มันเป็นหน้าที่ของลูกแม่"
"ลูกทราบดี ถึงภาระหน้าที่ของลูก ที่ต้องคอยดูแลในส่วนของเสด็จพ่อผู้ล่วงลับได้ทิ้งเอาไว้ ลูกจะไม่ทำให้เสด็จแม่ผิดหวัง"
"ดีแล้วลูก... ลูกเป็นอย่างนี้ แม่ค่อยตายตาหลับลงได้ ทุกสิ่ง...เมื่อถึงเวลาพบ ย่อมถึงเวลาต้องจาก กาลเวลาอันแสนยาวนาน ห้วงกรรม และความเมตตาจากเบื้องบน จะช่วยให้แม่ได้พ้นความเจ็บปวดทั้งช่วงชีวิตนี้"
"ความเจ็บปวดหรือ...เสด็จแม่"
"อ่อ...ไม่มีอะไรหรอกลูกแม่"
ถึงกระนั้น... อิสมาคาอินกลับยังคงถือว่าคำดุของมารดา เป็นคำสอนที่ตนเองต้องยึดถือ และดีใจเมื่อทรงได้รับคำดุ เพราะพระองค์รู้ดี ว่านางดุพระองค์ เพราะพระนางรักลูก ซึ่งคือพระองค์นั่นเอง
แต่ว่า "ความเจ็บปวด" ที่มารดากล่าวออกมา กลับทำให้พระโอรสเกิดความสงสัย
แต่พระนางกลับทำเป็นว่ามันไม่ใช่อะไรต้องให้มากังวล แม้จะอย่างนั้น...
"ทรงบอกมาเถอะ เสด็จทรงเจ็บปวดด้วยเรื่องอะไรหรือ"
นางกลับตอบไปว่า
"บางอย่าง มันยังไม่ถึงเวลาที่ลูกจะเข้าถึงมัน ลูกแม่จะได้รับรู้เมื่อถึงเวลา แม่ไม่อยากให้ลูกต้องมาปริวิตกอะไรกับแม่ในตอนนี้"
"แต่ว่า..."
"ไม่มีแต่...แม่ขอล่ะ ลูกอย่าได้ถามแม่อีกเลย"
"...."
"แม่เข้าใจ เข้าใจว่าลูกอยากจะช่วย แต่บางอย่าง แม่ต้องแก้ไขด้วยตัวเอง ทุกๆสิ่งเป็นทั้งบุญและกรรมของแม่ ที่เคยได้กระทำไว้ในตอนไม่ประสาต่อความดีและชั่ว แม่ไม่อยากให้ลูกมารับรู้อะไรในตอนนี้ ถือว่าแม่ขอร้องล่ะนะ ลืมมันไปซะเถอะ..."
"เสด็จแม่"
อิสมาคาอินได้แต่ยอมรับในคำขอร้องของมารดา อย่างเสียไม่ได้ พระองค์เป็นลูก ลูกย่อมต้องการแบ่งเบาความเจ็บปวดของแม่ ดังนั้นพระองค์เลยทรงพยายามลืมเรื่องที่ถามไปนั้นเสีย แต่เก็บความสงสัยเอาไว้ในพระทัย...
แต่ตอนนั้นเอง ซูไลก้าได้กล่าวขึ้นมาอีกครั้ง...
"เมื่อสิ้นแม่ไปแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างของแม่จะเป็นของลูก ลุกแม่ต้องคิดตรองดูให้จงหนัก ว่าสิ่งใดควรไม่ควร เพราะไม่มีแม่แล้ว ไม่มีใครจะมาเตือนสติลูกได้ ลูกได้รับอุปนิสัยพระพิโรธอันเย็นเยือกของเสด็จตาเยซีฮานมาอย่างเต็มเปี่ยม ดังนั้น..ลูกจะต้องคิดดูให้ดีๆเสียก่อน มิเช่นนั้น ความเจ็บปวดจะทำลายหัวใจลูกจนแหลกสลาย"
"..."
"แม่ไม่อยากให้ลูกมารับรู้อะไรทั้งนั้น ต้องเข้าใจแม่ด้วยนะ"
"ลูกทราบแล้ว และจะขอทำตามรับสั่งเสด็จแม่"
"ดีแล้วลูกแม่"
ซูไลก้าแสดงความยินดี เมื่อลูกชายยอมละวางความสงสัยต่อสิ่งที่นางพูด นางไม่สงสัยในความคลางแคลงของลูกชาย แต่นางกังวลถึงความพิโรธ อันแฝงในพระทัยนั้น เวลาโกรธขึ้นมา เหมือนกับเยซีฮานในคราบของอิสฮานจริงๆ
พอกล่าวจบ ซูไลก้าได้ลุกขึ้น เพื่อจะกลับพระตำหนักของพระนาง ที่อยู่ในเขตชั้นในสุด ใกล้กับเขตอุทยานนั้นเอง
"น้อมส่งเสด็จแม่"
อิสมาคาอินได้กล่าวส่งพระมารดาของพระองค์ ด้วยความเคารพอย่างสูงส่ง
แต่ทันใดนั้นเอง
ตุบบบบบบ
จู่ๆ พระนางซูไลก้าเกิดอาการหน้ามืด เป็นลมหมดสติกลางทาง เบื้องหน้าอิสมาคาอิน ผู้ได้เปลี่ยนสีหน้าจากเคยมีความสุข กลายเป็นเหยเกด้วยความตกใจสุดขีด
"เสด็จแม่...เสด็จแม่ เสด็จแม่------"
อิสมาคาอินร้องเรียกพระนางด้วยความตกใจ เนื่องจากพระมารดาได้หมดสติลงต่อหน้าพระองค์ และเสียงเรียกคราวนี้ จะกลายเป็นจุดเริ่มต้นแห่งความเจ็บปวด ทุกข์ระทม นํ้าตา และความสุขในบั้นปลายไปชั่วชีวิต ของจักรพรรดิ์แห่งซาโลม นามว่า "อิสมาคาอิน"