Chapter 8 พ่อค้าเร่โจซาน
ภายในท้องพระโรงเต็มไปด้วยเสียงแสดงความยินดี และเสียงหัวเราะจากบรรดาแม่ทัพนายกองฟีเลเซีย ทุกคนต่างคุยกันถึงชัยชนะของกองทัพนักบวชที่มีเหนือ กองทัพปีศาจของซาโลมกันอย่างออกรส และไม่ใช่เพียงแค่เฉพาะนายทหารระดับสูงเท่านั้น แต่แทบจะทุกหย่อมหญ้าในเมืองอาวีเลีย ก็มีการพูดถึงชัยชนะของกองทัพนักบวชด้วยเช่นกัน ทั้งนี้เพราะกองทัพนักบวชแทบไม่เสียกำลังพลในขณะที่อีกฝ่ายเรียกได้ว่าพ่ายแพ้ยับเยิน เรียกขวัญและกำลังใจของบรรดาทหารและชาวเมืองให้เพิ่มขึ้นอย่างมากมาย หลังจากที่อยู่ในมลภาวะหดหู่และขวัญเสียมานาน และเพราะชัยชนะในครั้งนี้เองทำให้ฟีเลเซียร้องขอการสนับสนุนด้านกำลังพลจากทางศาสนจักรมากขึ้น
ที่อีกฟากของทวีป อาณาจักรฟูดินันก็เร่งระดมพลเป็นการใหญ่ เนื่องจากถึงกำหนดการผลัดเปลี่ยนกองทัพ ซึ่งในครั้งนี้ถึงกำหนดที่ฮารีซันจะต้องเป็นผู้นำทัพไปประจำการที่สนามรบ เวลานี้ครอบครัวบันดาราจึงตกอยู่ในความเศร้าสร้อยไม่ต่างจากครอบครัวอื่นๆ ที่สมาชิกในบ้านถูกเกณฑ์ไปสนามรบ
แต่ผู้ที่ทุกข์ใจที่สุดก็คงจะเป็นอิสฮาน เขามองดูสมาชิกบ้านบันดาราที่กำลังเศร้าสร้อยด้วยความหดหู่และเศร้าหมอง แม้เขาจะพยายามลืมอดีตของตนเองมากเท่าใด แต่ก็ไม่อาจหนีความจริงที่ตามมาหลอกหลอนเขาได้ เขาเดินเข้าไปหาวานาอันที่กำลังเย็บเสื้อหนังสัตว์ให้ฮารีซันเพื่อใช้กันหนาวเวลาที่อยู่ฟากฟีเลเซีย หญิงสาวแทบไม่ค่อยยิ้มแย้มมาเกือบอาทิตย์แล้ว และยิ่งจวนจะถึงวันเคลื่อนพล บรรยากาศรอบตัวของเธอก็ยิ่งเศร้าหมองยิ่งขึ้น
“ข้าขอโทษ” อิสฮานพูดด้วยน้ำเสียงสำนึกผิด
“หืม ?” วานาอันที่กำลังง่วนอยู่กับการเย็บเสื้อเงยหน้าขึ้นถามเพราะไม่ทันฟังคำเด็กชายพูด “เมื่อกี้เจ้าพูดว่าอะไรนะ?”
“ข้า...ข้าพูดว่า ท่านเย็บเสื้อให้พี่ฮารีซันรึ?” อิสฮานแสร้งเปลี่ยนเรื่อง
“ใช่” วานาอันตอบด้วยน้ำเสียงไม่ร่าเริง “สิ่งที่ข้าทำได้ก็มีเพียงเท่านี้ ข้าหวังว่าอย่างน้อยเสื้อนี่จะช่วยปกป้องพี่ฮารีซันได้บ้าง แม้จะแค่จากลมหนาวของฟากฟีเลเซียก็ยังดี”
อิสฮานได้ยินดังนั้นจิตใจก็ยิ่งห่อเหี่ยว ทำให้วานาอันสามารถสัมผัสได้ “ทำไมหรือ? ข้าสัมผัสได้ถึงความทุกข์ของเจ้า เจ้าก็เสียใจเหมือนกันที่พี่ฮารีซันต้องไปสนามรบใช่ไหม?” วานาอันแปลความทุกข์ของอิสฮานด้วยความเข้าใจผิด
“เหมือนข้าเลย ข้าหน่ะไม่มีทั้งพ่อและแม่ เหลือเพียงแค่ท่านปู่กับพี่ฮารีซัน ท่านปู่ก็อายุมากแล้วถ้าพี่ฮารีซันเป็นอะไรไปอีกคน ข้าคง...” วานาอันรู้สึกกลัวขึ้นมาจับใจเมื่อคิดว่าตนต้องอยู่เพียงลำพังบนโลก
“ท่านยังมีข้านะ ข้าจะอยู่กับท่านเอง ข้าสัญญาว่าจะไม่ทิ้งท่านไปไหน จะไม่ทิ้งท่านให้โดดเดี่ยวอยู่คนเดียว” อิสฮานให้คำมั่น
วานาอันได้ยินดังนั้นก็หัวเราะคิกใบหน้าเบิกบานขึ้นทันที จึงพลอยทำให้อิสฮานยิ้มตามไปด้วยเขาอยากเห็นรอยยิ้มของหญิงสาวมากกว่าสิ่งอื่นใดในฟูดินัน
“จริงสินะ เราก็เหมือนเป็นครอบครัวเดียวกันแล้วนี่ เจ้าก็เหมือนเป็นน้องชายของข้า ข้านี่เป็นพี่สาวที่แย่จริงๆ เอาแต่คิดถึงแต่ความเศร้าของตัวเอง ทั้งๆ ที่เจ้าเองก็กำลังโศกเศร้าเหมือนกัน”
“พี่วานาอัน ข้าพูดจริงๆ นะ ข้าสัญญาว่าจะอยู่กับท่าน จะคอยปกป้องและอยู่ข้างกายท่านตลอดไป” อิสฮานกล่าวคำมั่นสัญญาอีกครั้ง
วานาอันได้ยินดังนั้นก็คลี่ยิ้มด้วยความซาบซึ้งใจและประทับใจในคำพูดของเด็กชาย “ขอบใจนะ อิสฮาน” วานาอันชูนิ้วก้อยขึ้น ซึ่งอิสฮานก็ยกนิ้วก้อยของตนขึ้นเกี่ยวกับนิ้วของหญิงสาว “เราสัญญากันนะว่าจะไม่ทิ้งกันไปไหนเราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป”
“อืม ข้าสัญญา” อิสฮานยิ้มกว้างตอบด้วยความหนักแน่น และเขาตั้งใจจะกระทำตามที่ลั่นวาจาไว้จริงๆ