Chapter 9 ผ้าคลุมขนนกแดง
ณ ห้องรับรองในเขตพระราชฐานชั้นใน ราชินีเนริมอร์ทรงกำลังเสด็จกลับไปกลับมาอย่างกระวนกระวายพระทัยยิ่งนัก พระพักตร์ของพระนางดูหมองคล้ำอิดโรย
“มหาอำมาตย์นาริส ขอเข้าเฝ้า” เสียงประกาศของทหารยามหน้าประตูดังขึ้น
อำมาตย์เฒ่าเดินเข้ามาอย่างรวดเร็วพลางโค้งคำนับ “ทรงเรียกให้เข้าเฝ้าเป็นการด่วน...?”
“ท่านนาริส จริงรึที่ว่าซาดินบุกถ้ำวงกตนั่นสำเร็จแล้วและกำลังขนสมบัติทั้งหมดกลับมา?” พระนางเนริมอร์รีบตรัสถามอย่างรวดเร็ว
“พ่ะย่ะค่ะ”
“หมายความว่า...” ราชินีสีพระพักตร์ตื่นตระหนกไม่กล้าแม้จะเอ่ยตรัสใดๆนั้นออกมา
“กระหม่อมพยายามประวิงเวลาอย่างที่สุดแล้วพระนาง และคงมิอาจประวิงเวลาต่อไปได้อีกแล้ว”
“ไม่นะ! อิสฮานยังไม่แปดขวบดีเลยด้วยซ้ำ จะให้ข้าทิ้งลูกไปได้อย่างไรกัน? ท่านนาริสโปรดประวิงเวลาต่อไปอีกสักหน่อยเถิด ขอให้ข้าได้มีเวลาอยู่กับลูกอีกสักนิด...”
อำมาตย์เฒ่าได้แต่ส่ายหน้า
“ท่านนาริส ลูกชายข้าช่างอาภัพนัก มีตำแหน่งเป็นถึงเจ้าฟ้าเจ้ากษัตริย์ผู้คนต่างเคารพรักยกย่องสรรเสริญกันทั่วหล้า ทรัพย์สมบัติต่าง ๆ ก็มีมากกว่าเด็กในวัยเดียวกันเหลือคณานับ แต่ความรักที่เรียบง่ายและอบอุ่นที่สุดเขากลับได้รับเพียงครึ่งเดียว มีพ่อก็เหมือนไม่มี ข้ารู้ดีว่าท่านก็รักอิสฮานราวกับเป็นลูกเป็นหลานของท่านคนหนึ่ง ท่านทนเห็นอิสฮานที่น่าสงสารต้องขาดแม่ไปอีกคนได้เชียวหรือ บิดาเปรียบดั่งผืนฟ้า มารดาเปรียบดั่งแผ่นดิน แม้ฟ้าจะดับชีวิตก็ยังคงดำรงอยู่ได้ แต่หากแผ่นดินม้วยแล้ว ชีวิตจะยังคงดำรงอยู่ได้อย่างไร ท่านอย่าให้ลูกข้าต้องขาดแม่ไปอีกคนเลย”
“พระนาง มิใช่ว่ากระหม่อมจะใจจืดใจดำไม่ช่วยเหลือพระองค์ หากแต่ว่ากระหม่อมได้พยายามอย่างสุดความสามารถแล้ว”
“แต่มันยังไม่ดีพอ ท่านเป็นถึงมหาอำมาตย์ใหญ่...”
“พระนางเนริมอร์ การตระเตรียมการในส่วนต่าง ๆ นั้นพร้อมสรรพจนแทบจะเกินความจำเป็นแล้วเสียด้วยซ้ำ จะเหลือก็แต่สมบัติที่จะนำมาซื้ออาวุธและเสบียงเท่านั้น พระองค์เองก็ทราบดีมิใช่หรือ?”
ราชินีเนริมอร์ทรงกัดริมฝีปากแน่น น้ำเนตรเอ่อคลอขึ้น “ข้ามีเวลาเหลืออีกเท่าไหร่?”
“หลังจากที่ฝ่าบาทกลับมาอย่างน้อยสองอาทิตย์ อย่างมากก็ไม่เกินหนึ่งเดือน”
“ไม่!! มันเร็วเกินไป” พระนางเบิกดวงเนตรกว้าง แทบไม่เชื่อหูพระองค์เอง
“ไม่มากไปกว่านี้แล้วพระองค์”
“หึหึ ท่านหยอกข้าเล่นใช่หรือไม่?” ราชินีเนริมอร์ทรงพยายามเค้นเสียงหัวเราะกลบเกลื่อนความตะหนก แต่เมื่อทอดพระเนตรเห็นสีหน้าจริงจังของอำมาตย์แล้ว รอยยิ้มของพระนางก็ค่อย ๆ เลือนหายไป ราชินีเนริมอร์ส่ายพระพักตร์ช้า ๆ ดวงเนตรเบิกกว้าง พระโอษฐ์ขยับเหมือนจะตรัสแต่กลับไม่มีเสียงใด ๆ เล็ดรอดออกมา
“ลูกแม่...” ตรัสได้เพียงเท่านั้นราชินีเนริมอร์ก็ทรงวิ่งถลาไปผลักประตูห้องรับรองออกอย่างรวดเร็ว “พระโอรสอยู่ที่ไหน รีบนำตัวพระโอรสมาหาเราเดี๋ยวนี้!!”
*****************
ณ อุทยานกลางพระราชวังแห่งซาโลม พระโอรสองค์น้อยกำลังเสด็จไปตามทางที่ปูด้วยแผ่นหินลวดลายแปลกตาอยู่พระองค์เดียว พระพักตร์ดูซึมเศร้าหงอยเหงา เจ้าชายอิสฮานทรงกัดริมพระโอษฐ์ล่างแน่น ดวงเนตรคมคู่น้อยจ้องมองแต่ปลายเท้าพระองค์เองที่ย่างก้าวกึ่งกระโดดไปตามลวดลายของแผ่นหิน เจ้าชายน้อยทอดพระเนตรไปยังอุทยานอีกฟากก็ทันได้เห็นทหารยามสองนายเดินลาดตระเวนอยู่ไกล ๆ จึงทรงรีบวิ่งเข้าไปหาอย่างรวดเร็ว
“พวกเจ้า มาเล่นกับเราหน่อยสิ”
ทหารทั้งสองสะดุ้งสุดตัว ต่างมองหน้ากันไปมา “พระอาญามิพ้นเกล้า ข้าพระองค์มิบังอาจ”
พระโอรสน้อยทรงยิ้มให้อย่างมีความหวัง ดวงเนตรคมพราวระยับ
“มาเถิด ไม่เป็นไร เราไม่ว่าอะไรพวกเจ้าหรอก อยู่เป็นเพื่อนเล่นกับเราก่อนนะ ไม่มีใครเล่นกับเราเลย”
ทหารทั้งสองมองหน้ากันอีกครั้ง สีหน้าเริ่มตึงเครียด “ฝ่าบาทได้โปรดเถิด พวกข้าพระองค์มีหน้าที่ต้องเดินเวรยาม หากไม่รีบกลับไปรายงานตัวกับนายทวารใหญ่แล้ว...”
เจ้าชายอิสฮานน้อยสีพระพักตร์สลดลง ทรงยิ้มเศร้า ๆ “เอาเถอะ เราเข้าใจ พวกเจ้ารีบไปเถิด”
“พ่ะย่ะค่ะ” ทหารทั้งสองรีบลุกขึ้นอย่างรวดเร็วกึ่งเดินกึ่งวิ่งเลี้ยวไปอีกทางหนึ่ง
“เกือบไปแล้วสิ ใครจะกล้าไปเล่นด้วยเล่า วันดีคืนดีเกิดเป็นอะไรขึ้นมา คงได้หัวหลุดจากบ่าเป็นแน่”
“เฮ้ย เบา ๆ สิเดี๋ยวก็ทรงได้ยินหรอก....”
เสียงพูดคุยของทหารทั้งสองดังขึ้นก่อนจะค่อย ๆ ห่างออกไปจนฟังไม่ได้ศัพท์ แต่ก็มากพอที่จะทำร้ายจิตใจของเด็กน้อยให้เจ็บปวดแล้ว เจ้าชายน้อยดวงเนตรแฉะชื้น ทรงกัดริมริมพระโอษฐ์แน่นก่อนที่จะก้มพระพักตร์ลงและเริ่มต้นกระโดดไปตามแผ่นหินอีกครั้งอย่างหงอยเหงา
ที่ปลายอีกฟากของอุทยานมีนางกำนัลสี่คนนั่งหมอบคอยเฝ้าพระโอรสอยู่ไกล ๆ ต่างก็แอบกระซิบกระซาบคุยกันถึงเรื่องพระโอรสองค์น้อย
“น่าสงสารพระโอรสจริง ๆ ดูสิพระองค์เหงามากนะ”
“งั้นเจ้าก็ไปเล่นกับพระองค์สิ” นางกำนัลอีกคนพูดขึ้น
“ใครจะกล้าเล่า ก็ตั้งแต่เกิดเรื่องที่พระโอรสบาดเจ็บคราวนั้นก็ไม่มีใครกล้าเล่นกับพระองค์อีกเลย ท่านเสนาฯอำมาตย์ทั้งหลายก็ไม่กล้าส่งลูกมาเล่นกับพระองค์อีกแล้ว บ้างก็ว่าป่วย บ้างก็ว่าไปร่ำเรียนต่างเมือง แต่ใคร ๆ ก็รู้กันทั้งนั้นว่าต่างก็กลัวพระพิโรธของพระนางเนริมอร์” นางกำนัลคนแรกพูดไปจับคอตัวเองไป
“ข้าก็สงสารพระองค์นะ แต่ข้ารักชีวิตตัวเองมากกว่า” นางกำนัลอีกคนพูดเสริมขึ้น สีหน้ายังคงประหวั่นพรั่นพรึงถึงเหตุการณ์ในวันนั้น