Chapter08 สมบัติล้ำค่าแห่งซาโลม
หกปีต่อมาหลังจากที่กษัตริย์ซาดินวางแผนบุกยึดทวีปเมอร์ริเซีย ซาโลมก็กำลังตกอยู่ในช่วงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ทั่วทั้งเมืองมีแต่ความสลดหดหู่และเสียงร่ำไห้ของบรรดาหญิงสาวที่ต้องสูญเสียพ่อสามีและลูกชายในวัยกำลังโตให้กับกองทัพ ชายหนุ่มที่ถูกเกณฑ์เข้ากองทัพต้องถูกฝึกอย่างหนักแทบไม่ได้กินได้นอน เด็ก ๆ จำนวนมากมายต้องตายลงเนื่องจากการฝึกที่แสนโหดร้ายทารุณของกองทัพ ส่วนเด็ก ๆ ที่สามารถเอาชีวิตรอดจากการฝึกหฤโหดนี้ก็ดูราวกับว่าความสดใสร่าเริงของวัยเด็กได้ตายจากพวกเขาไปเสียแล้ว กลับกลายเป็นผู้ไม่มีความรู้สึก ไม่มีความอ่อนไหว ไร้ชีวิตจิตใจ มีชีวิตอยู่เพื่อห้ำหั่นศัตรูเท่านั้น ในขณะที่กองทัพเองก็เริ่มเข้าสู่ภาวะฝืดเคืองในด้านงบประมาณ แม้ว่าจะเก็บภาษีเพิ่มมากขึ้นก็ยังไม่เพียงพอ
*****************
ภายในท้องพระโรงในปราสาทแห่งซาโลม กษัตริย์ซาดินทรงกำลังออกว่าราชการตามปกติ เหล่าทหารและเสนาบดีต่างอยู่กันพร้อมหน้า
“เรื่องสมบัติโบราณในถ้ำวงกตใต้ภูเขาไฟนั้น บัดนี้มีความคืบหน้าอย่างไรบ้างท่านนาริส?” กษัตริย์ซาดินตรัสถามพลางหันพระพักตร์ไปทาง อำมาตย์สูงวัย
“กองทัพที่ส่งไปไม่มีใครรอดชีวิตกลับมาเลยพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” นาริส โค้งศีรษะลงก่อนจะทูลตอบ
“อะไรกัน !! นี่เป็นกองทัพที่สามแล้วนะ ข้าเสียเวลากับถ้ำนี้มากว่าปีแล้ว ในนั้นมันมีสิ่งชั่วร้ายอะไรอยู่กันแน่ ข้าอยากรู้นัก” กษัตริย์วัยฉกรรจ์ตรัสเสียงกร้าวพร้อมกับขบฟันแน่น
“พระอาญามิพ้นเกล้า กระหม่อมเห็นว่าเราอย่าเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ด้วยวิธีนี้อีกเลย เราสูญเสียกำลังทหารไปกับถ้ำนี้มิใช่น้อยเลยนะฝ่าบาท แล้วอีกอย่างถ้ำนี้จะมีสมบัติอยู่จริงรึไม่ก็ยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด อาจจะเป็นแค่คำพูดโคมลอยของท่านอุปราชเท่านั้นก็เป็นได้” นาริสทูลแฝงคำเหน็บแนมเบลซ เซจอยู่ในที
กษัตริย์ซาดินทรงนิ่งเงียบอารมณ์ยังคงคุกรุ่น ในขณะที่เบลซ เซจเองก็ครุ่นคิดอยู่เช่นกัน ดวงตาเจ้าเล่ห์ของเขาหรี่เล็ก สักพักจึงค่อย ๆ แสยะยิ้ม “ถ้าเช่นนั้นใยฝ่าบาทไม่เสด็จไปทอดพระเนตรด้วยพระองค์เองเลยเล่า?”
กษัตริย์ซาดินทรงหันควับไปทางเบลซ เซจทันที ในขณะที่คนอื่น ๆ ในท้องพระโรงส่งเสียงคัดค้านเสียงดังเซ็งแซ่
“รู้สึกว่าท่านอุปราชชอบมีความคิดแปลกประหลาดพิสดารเกินปกติอยู่เสมอ บ่อยครั้งเหลือเกินที่ข้าสงสัยในเจตนาของท่าน ซึ่งครั้งนี้ข้าคงต้องขอฟังคำชี้แจงของท่านเสียหน่อยแล้ว” นาริสกล่าวยิ้มพลางโค้งให้น้อย ๆ
เบลซ เซจกระตุกยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย ก่อนที่จะโค้งให้องค์กษัตริย์ทูลว่า “ฝ่าบาท ข้าพระองค์มั่นใจว่าภายในถ้ำลึกลับนั้นต้องมีสมบัติอยู่แน่นอน หากแต่กองทัพที่ท่านนาริสส่งไปล้วนแล้วแต่อ่อนด้อยฝีมือทั้งนั้น แม้แต่ตัวท่านนาริสเองบัดนี้ยังถอดใจไม่คิดจะบุกถ้ำอีก ทั้งหากยังคงส่งทหารด้อยฝีมือไปก็รังแต่จะเสียเวลาเสียการณ์ไปเปล่า ๆ เช่นนี้แล้วข้าพระองค์จึงเห็นว่าพระองค์ผู้ทรงเก่งกล้าสามารถน่าจะแสดงให้ท่านมหาอำมาตย์รวมถึงเหล่าทหารแห่งพระองค์ได้ประจักษ์เป็นขวัญตาถึงความห้าวหาญเก่งกาจของพระองค์พ่ะย่ะค่ะ”
“ทหารที่ข้าส่งไปล้วนแต่ได้รับการฝึกมาอย่างดีแล้วทั้งนั้นนาริสกล่าวโต้ ท่านอุปราชนี่ก็ช่างคิดเสียเหลือเกิน ในถิ่นที่ไม่รู้จักมักคุ้น อีกทั้งในนั้นมีสิ่งใดอยู่ก็ไม่อาจรู้ได้ กลับเสนอให้เจ้าเหนือหัวเข้าไป....”
“ท่านมหาอำมาตย์ก็พูดเกินไป จากที่ข้ารู้มา...ในถ้ำนั้นมันมีอะไรอยู่ท่านก็ใช่ว่าจะมิรู้ไม่ใช่หรือ?”
“ท่านรู้หรือ ท่านนาริส?” กษัตริย์ซาดินตรัสถามแทบจะทันทีด้วยสีหน้าฉงนระคนประหลาดใจ
นาริสชะงักเล็กน้อยก่อนโค้งศีรษะตอบ “ทูลฝ่าบาท ยังเป็นแค่การสันนิษฐานเท่านั้น กระหม่อมมิอยากชี้เจาะจงให้แน่ใจในทันที”
“ว่ามา” กษัตริย์ซาดินโน้มตัวมาข้างหน้าประทับนั่งเท้าคาง มีสีพระพักตร์สนอกสนใจ
“จากบันทึกเก่าแก่ที่กระหม่อมได้ค้นคว้ามาเมื่อเร็ว ๆ นี้ อารยธรรมโบราณบูชาภูเขาไฟดั่งเป็นเทพเจ้า ทุก ๆ ปีจะมีพิธีบูชายัญมนุษย์ให้แก่มังกรที่เป็นพาหนะของเทพเจ้า ทั้งสภาพภูมิประเทศแถบนั้นมีภูเขาไฟอยู่มาก ปากถ้ำเทลาดลึกลงไปใต้ภูเขาไฟ อีกทั้งกองทัพได้รายงานมาก่อนจะบุกเข้าถ้ำว่าที่ปากถ้ำนั้นจะมีกลิ่นกำมะถันจาง ๆ โชยออกมาเป็นระยะ ๆ กระหม่อมสันนิษฐานว่าใต้ถ้ำนั้นอาจมี มังกรแมกม่า(Magma Dragon)อาศัยอยู่ และหากมีการซุกซ่อนสมบัติในนั้นจริงก็น่าจะมีสัตว์ประหลาดที่ชนเผ่าโบราณใช้มันเฝ้าสมบัติ รวมไปถึงอาจจะมีการซ่อนกับดักกลไกกระจายอยู่ทั่วทั้งถ้ำ... แต่กระนั้นเราก็ยังไม่มีหลักฐานอะไรที่ทำให้แน่ใจได้ว่าถ้ำนี้จะเป็นถ้ำเดียวกันกับที่บรรพชนโบราณใช้เก็บสมบัติ มันอาจจะเป็นถ้ำลวงที่บรรพชนโบราณสร้างไว้เพื่อหลอกล่อนักล่าสมบัติก็ได้”
เสียงซุบซิบดังอื้ออึงไปทั่วท้องพระโรง กษัตริย์ซาดินทรงเอนหลังกลับไปพิงพนักตรัสเสียงเบา “มิน่าเล่า ข้ามิแปลกใจเลยที่ไม่เหลือใครรอดกลับมาสักคน... แต่อย่างน้อยมันก็คุ้มค่าที่จะเสี่ยง ดีล่ะข้าจะไปเอง”
“ฝ่าบาท!! มันอันตรายเกินไป”
“ฝ่าบาทโปรดทรงคิดทบทวนดูใหม่เถิด”
เหล่าเสนาอำมาตย์ต่างพากันคัดค้านจนแทบจะพร้อมเพรียงกัน
“ฝ่าบาท มีนักแสวงโชคจำนวนมากมายที่ต่างสังเวยชีวิตให้กับถ้ำนี้มาไม่น้อยและยังมิเคยมีผู้ใดรอดชีวิตกลับมาได้แม้สักคนเดียว...” นาริสยังไม่ทันพูดจบ กษัตริย์ซาดินก็ตรัสแทรกขึ้นมา
“ข้าเบื่อที่จะต้องมานั่งรอฟังความล้มเหลวซ้ำซาก และข้าก็ไม่ได้ออกรบทัพจับศึกมานานพอดูแล้ว ชักรู้สึกเบื่อ ๆ เต็มที... ยังไงเสียสมบัติเหล่านั้นเมื่ออยู่ในอาณาจักรซาโลมของข้า มันก็ย่อมเป็นของข้าโดยชอบธรรมอยู่แล้ว อีกอย่างข้าไม่เพลี่ยงพล้ำง่าย ๆ หรอกพวกเจ้าอย่ากังวลไม่เข้าเรื่องเลย ท่านจงเตรียมทัพให้พร้อมอีกสองวันข้าจะออกเดินทาง”
เมื่อกษัตริย์ซาดินตรัสเช่นนี้ นาริสจึงมิอาจโต้แย้งใด ๆ ได้อีก จึงได้น้อมรับคำบัญชาโดยมีเบลซ เซจแสยะยิ้มให้อย่างล้อเลียน