Chapter 6 การรบครั้งสุดท้ายของแม่ทัพราโชยู
เสียงแตรเขาสัตว์และเสียงกลองให้จังหวะดังไปทั่วสนามรบ ทั้งกองทัพฝ่าย เบลซ เซจ และกองทัพ ฝ่ายราโชยูต่างก็โห่ร้องข่มขวัญฝ่ายตรงข้ามกันจนเสียงดังอื้ออึง พลธนูทั้งสองฝ่ายต่างก็ขึ้นสายเอ็นง้างธนูจนสุดแขน พร้อมจะปล่อยลูกดอก เพื่อปลิดชีพฝ่ายตรงข้ามทุกเมื่อ แสงแดดเริ่มร้อนแรงขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนจิตใจของเหล่าทหารที่กำลังเดือดระอุจวนจะระเบิดเข้าไปทุกขณะ
เมื่อจิตสังหารของบรรดาทหารพุ่งขึ้นถึงขีดสุด แม่ทัพราโชยูก็ตวัดเคียวกู่ร้องเสียงดังก้อง
“โจมตี!!”
เสียงทหารเฮโลขานรับผู้เป็นนายดังจนผืนทรายสะเทือน ลูกธนูนับพันดีดตัวพุ่งทะยานใส่เป้าหมายไม่ยั้งเครื่องยิงหินและเครื่องยิงธนูยักษ์ถูกใช้อย่างเต็มกำลัง เพื่อทำลายกำแพงและประตูเมืองด้านทิศใต้ให้ราบเป็นหน้ากลองยิ่งเข้าเมืองได้ช้าเท่าไหร่ โอกาสยึดอำนาจคืนจากเบลซ เซจก็ยิ่งน้อยลงเท่านั้น เพราะ เสบียงอาหารของกองทัพแทบจะไม่มีเหลือแล้วมิใช่ว่าแม่ทัพราโชยูจะโง่เขลาเบาปัญญาที่คิดจะทำสงครามโดยไร้เสบียง ทว่าในสภาวะสงครามที่แสนยืดเยื้อนี้ เสบียงอาหารหายากและมีจำนวนจำกัด แม้เขาจะยกทัพกลับมาเขาก็นำเสบียงมาแค่พอให้สามารถอยู่รอดได้ เพราะเขาไม่ต้องการให้ทหารนาวหน้าต้องขาดแคลนเสบียงอาหารแม่ทัพทมิฬหวังจะเพิ่งโอเอซิสที่ใกล้กับเมืองหลวง ทว่าโอเอซิสกลับถูกทำลายจนแทบใช้การใด ๆ ไม่ได้ ซึ่งแม่ทัพทมิฬก็เชื่อว่าคงจะเป็นแผนลอบกัดที่แสนถนัดของเบลซ เซจที่คิดจะตัดกำลังกองทัพของเขาก่อนนั่นเอง
ข้างฝ่ายกองทัพของกษัตริย์ เบลซ เซจ ก็ระดมยิงลูกธนูชุดแล้วชุดเล่าใส่กองทัพเบื้องล่างอย่างเอาเป็นเอาตาย เครื่องยิงหินที่ถูกติดตั้งบนตัวกำแพงก็ยิงหินก้อนมหึมาใส่ฝ่ายตรงข้ามไม่หยุด บ้างก็ยิงถังน้ำมันใส่พยายามเล็งไปให้ใกล้เครื่องยิงหินของฝ่ายตรงข้าม ก่อนจะยิงธนูเพลิงใส่หมายจะเผาทำลายเครื่องทุ่นแรงของแม่ทัพใหญ่ ขณะเดียวกันทหารฝ่ายแม่ทัพก็รีบตักทรายสาดใส่กองเพลิงที่กำลังลุกไหม้จนสามารถดับไฟได้ทันการณ์ และไม่ใช่เป็นเพียงแค่ฝ่ายตั้งรับเท่านั้น กองทัพของแม่ทัพราโชยูก็ใช้ไฟในการก่อกวนอีกฝ่ายเช่นกัน กองทัพของฝ่ายแม่ทัพก็ใช้แท่นยิงหิน ยิงถังน้ำมันใส่กำแพงเมือง ก่อนจะใช่ธนูเพลิงเผาเพื่อให้ควันและเขม่าบดบังวิสัยทัศน์ของเหล่าทหารบนกำแพงเมือง ที่สุดเมื่อควันไฟหนาทึบจนแทบจะมองอะไรไม่เห็น ผนวกกับความร้อนระอุของทะเลทรายยามเที่ยงวัน และอุณหภูมิที่สูงขึ้นจนแทบจะละลายหินจากไฟที่เผากำแพงเมือง แผนกดดันฝ่ายตรงข้ามของแม่ทัพราโชยูก็ได้รับการาตอบสนอง ประตูเมืองเปิดออกพร้อมกับเหล่ากองทัพเพลิงไหลทะลักออกมาประจัญบานกับกองทัพของราโชยู
แม่ทัพราโชยูตวัดเคียวเป็นสัญญา เสียงกลองก็เริ่มเปลี่ยนจังหวะ ทันใดนั้นทัพสัตว์ประหลาดและสัตว์ปีกก็ขู่คำรามเสียงดังก้อง พร้อมกับกระโจนเข้าใส่กองทัพหน้าของกษัตริย์เบลซ เซจ ทันที ทะเลทรายสีน้ำตาลทองบัดนี้ชโลมไปด้วยเลือด เสียงร้องอย่างคลุ้มคลั่ง เสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวดดังอื้ออึงไปทั้งสนามรบ การต่อสู้นั้นดูสับสนอลหม่านจนดูไม่ออกว่าใครเป็นใคร
ท่าเพียงไม่กี่นาที บรรดาสัตว์ป่าและสัตว์ประหลาดก็ล้มลงชักดิ้นชักงอ บ้างก็น้ำลายฟูมปากขาดใจตายแทบจะหมดสนาม กองทัพเพลิงของกษัตริย์เบลซ เซจ จึงรีบตั้งขบวนทัพใหม่ พร้อมกับกองทัพใหม่ที่กรูกันออกมาจากประตูเมือง
“เกิดอะไรขึ้น !? ทำไมทัพสัตว์พากันล้มตายกันหมดเช่นนี้?” แม่ทัพราโชยูดวงตาเบิกโพลงจับจ้องเหตุการณ์ที่จู่ ๆ ก็นำกองทัพของเขาเข้าสูวิกฤต
“ท่านแม่ทัพ กองทัพของพวกเราอาจถูกวางยาพิษ” รองแม่ทัพกล่าวด้วยเสียงร้อนรน เมื่อมองสภาพของสัตว์ที่กำลังดิ้นทุรนทุรายจนน้ำลายฟูมปาก
“นี่ เจ้าเบลซ เซจ มันเลวเสียยิ่งกว่าเลว ข้าไม่คิดเลยว่า นอกจากช่างประจบสอพลอ จิตใจโหดน่ารักมอำมหิตและมักใหญ่ใฝ่สูงแล้ว มันยังสารเลวถึงขนาดลอบกัดด้วยวิธีการต่ำช้าและขี้ขลาดที่สุด ถึงข้าจะได้ชื่อว่าเป็นแม่ทัพจอมโหดแห่งซาโลม แต่ก็ไม่เคยมีสักครั้งที่จะทำการชั่วช้าสารพัดเช่นนี้” แม่ทัพราโชยูถึงกับคำรามด้วยความเจ็บแค้น จริงอยู่ว่าความสัมพันธ์ของเขากับอุปราชเบลซ เซจไม่ได้ถึงกับสนิทสนมมากมายนัก แต่ก็ไม่ได้มีเรื่องบาดหมางขัดแย้งกันเหมือนกรณีมหาอำมาตย์นาริส ที่ผ่านมาเขาจะมีเรื่องให้เกี่ยวข้องกันก็แต่เรื่องทหารเรื่องกองทัพเท่านั้น แต่เพียงแค่เพื่ออำนาจ อุปราชเบลซ เซจ กลับชั่วช้าเลวทรามได้ถึงเพียงเท่านี้ บัดนี้เมื่อโดนเข้ากับตัวเองเขาจึงได้รู้แจ้งแล้วว่าทำไม พระราชินีเนริมอร์ และมหาอำมาตย์นาริสจึงต่อต้านและขัดกับอุปราช เบลซ เซจตลอดเวลา