Chapter 7 สายลมพัดผ่านผืนดิน
ณ ดินแดนอันห่างไกลทางตะวันออกของทวีปเมอร์ริเซีย สถานที่ซึ่งถูกโอบล้อมด้วย คีรีบันดา (Kerebanda) เทือกเขาขนาดใหญ่มหึมาที่ทอดตัวยาวครอบคลุมพื้นที่ตั้งแต่ทางตอนเหนือแผ่กว้างล้อมทั้งทางด้านตะวันออกจนสุดเขตแดนด้านตะวันตก ราวกับปีกมารดาแห่งวิหคยักษ์ที่กางออกเพื่อปกป้องลูกน้อยของตน เทือกเขานี้มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับผืนทวีป เมอร์ริเซีย และเป็นที่รู้จักของชนชาว เมอร์ริเซีย เป็นอย่างดี เพราะความยิ่งใหญ่แห่งอดีตกาลที่สร้างตำนานการต่อสู้ไว้มากมาย ณ ที่นั่น ทั้งยังเป็นที่สถิตของเหล่าทวยเทพต่าง ๆ และยังมีตำนานเล่าขานกันว่ายังมีมังกรเจ้าพิภพ 2 หัวนาม ไพทอน (Python, Kerebanda’s Guardian) คอยปกปักษ์รักษาดั่งองครักษ์เฝ้าพิทักษ์มหาภูเขาลูกนี้อยู่ เมื่อเอ่ยนาม คีรีบันดา
ลมทะเลที่พัดมาจากทางใต้ส่งผลให้พื้นที่บริเวณตีนเขามีฝนตกชุก อีกทั้งเทือกเขาที่มีลักษณะทอดยาวเช่นนี้ยังเป็นเหมือนแขนที่โอบกั้นมิให้เมฆฝนลอยผ่านไปได้ ทำให้บริเวณที่ถูกโอบล้อมนี้มีฝนตกตลอดปี ก่อกำเนิดความอุดมสมบูรณ์อย่างสุดขีดให้ผืนดิน พันธุ์ไม้ทุกชนิดเจริญงอกงามจนมีขนาดใหญ่กว่าไม้พันธุ์เดียวกันที่เติบโตในเขตอื่นของทวีป กระทั่งเกิดเป็นป่าไม้สูงใหญ่ครึ้มเขียวขจี อบอวลไปด้วยกลิ่นพฤกษานานาพันธุ์ ส่งกลิ่นอายแห่งความสดชื่นมีชีวิตชีวาไปทั่วทั้งพงไพร
ที่ใจกลางป่าแห่งนี้มีมหาพฤกษา อิกดราซิล (Yggdrasil) ยืนต้นสูงตระหง่านอยู่อย่างสงบ ใบของต้น อิกดราซิล นี้มีสีเงินยวงส่องประกายระยิบระยับสว่างไสวไปทั่วบริเวณราวกับอัญมณีที่หยอกล้อกับแสงไฟ ที่แง่งรากด้านหนึ่งมีธารน้ำผุดซึ่งได้กลายเป็นต้นน้ำของแม่น้ำ ลำธารหลายสายไหลกระจายไปทั่วภูมิภาคนี้ และมีสายหนึ่งที่ไหลลงสู่ทะเลสาบ นีรันดา (Nerunda Lake) ซึ่งเป็นแหล่งน้ำหลักให้ชนเผ่าต่าง ๆ รวมทั้งสัตว์น้อยใหญ่ ได้ใช้ประโยชน์กัน
พื้นที่บริเวณที่ถูกโอบล้อมนี้กว้างใหญ่ไพศาลนัก มีป่าน้อยใหญ่แบ่งย่อยอยู่ในพื้นที่นี้มากมาย และมีจำนวนไม่น้อยที่ยังมิเคยถูกค้นพบหรือสำรวจมาก่อน ผู้คนที่อาศัยอยู่ ณ ที่นี้มีมากมายหลายเผ่าด้วยกันและรวมไปถึงเผ่าสมิงต่าง ๆ ด้วย หากแต่เผ่าที่ใหญ่ที่สุดคือ เผ่า ฟูดินัน (Fudenun)
ผู้คนใน เผ่าฟูดินัน นี้เป็นผู้ที่รักสงบอยู่กันอย่างสันติ มีน้ำใจไมตรี ดำเนินชีวิตอย่างเรียบง่ายธรรมดา ในแต่ละวันผู้คนจะออกไปหาอาหารในป่าบ้าง ทำไร่ทำสวนบ้าง ขาดเหลืออะไรก็จะมาแบ่งปันกัน การแต่งกายก็เรียบง่ายไม่หรูหราฉูดฉาด เสื้อผ้าอาภรณ์ต่าง ๆ ล้วนแล้วแต่ถักทอกันเองด้วยเส้นด้ายที่ปั่นจากใยพืช เผ่าฟูดินันที่ถูกบ่มเพาะจากธรรมชาติเช่นนี้ จึงมีแต่ความสงบสุขเรียบง่าย ไร้ซึ่งความทะเยอทะยานและรักสันติ
บ่ายแก่ ๆ ของวันที่อากาศแจ่มใส สายลมโชยอ่อนๆพัดพาเอากลิ่นหอมของมวลดอกไม้ที่เพิ่งจะแย้มบานได้ไม่กี่วันให้อบอวลไปทั่วบริเวณ ณ ชายป่าด้านหนึ่งของเผ่า ฟูดินัน มีเสียงต่อสู้อึกทึกครึกโครมดังแว่วอยู่ ใกล้ต้นไม้ใหญ่มีเด็กชายสองคนกำลังกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันอยู่บนพื้น ฝุ่นดินและเศษหญ้ากระจายฟุ้ง ไม่ใกล้ไม่ไกลนักมีเด็กหญิงเล็ก ๆ วัย หก ปีคนหนึ่งกำลังยืนดูให้กำลังใจอยู่เงียบ ๆ ชั่วอึดใจทั้งคู่ก็กลิ้งลงเนินไปชนกับต้นสนขนาดกลางที่อยู่ใกล้ ๆ ดังโครมจนต้นสนโอนเอนไปมาอย่างแรง เด็กหญิงกรีดร้องเสียงดังพลางรีบวิ่งไปหาทั้งสอง ทั้งคู่ต่างกระเด็นไปคนละทิศละทาง เมื่อทั้งคู่หันหน้าไปมองต้นสนแล้วจึงเงยหน้าขึ้นมองกันและกัน ฉับพลันทั้งคู่ต่างก็ระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่น
“ท่านพี่…ท่านพี่เป็นอะไรกันรึเปล่าค่ะ?” เด็กหญิงที่เพิ่งวิ่งมาถึงถามเสียงเบาพลางหอบหายใจ
หนึ่งในนั้นจึงลุกขึ้นยืนอย่างทุลักทุเล ขาทั้งสี่ที่หยัดตัวขึ้นเผยให้เห็นร่างม้าครึ่งตัวที่ยังโตไม่เต็มที่ของลูก เซนทอร์(Centaur) ซึ่งพยายามกลั้นหัวเราะเมื่อเห็นสีหน้าตื่นตระหนกของเด็กหญิง
“ข้าไม่เป็นไรหรอก ท่านไปดูพี่ท่านจะดีกว่าว่าบาดเจ็บหรือไม่?” เซนทอร์ กล่าวพลางพยักพเยิดหน้าไปทางเด็กชายอีกคน ใบหน้ายังคงมีแววขบขันอยู่
เด็กน้อยวิ่งไปนั่งลงใกล้ ๆ เด็กชายที่ค่อย ๆ ลุกขึ้นนั่ง พลางมองสำรวจหาร่องรอยบาดเจ็บ เด็กชายยิ้มให้น้อย ๆ พลางลูบหัวเด็กหญิงอย่างอ่อนโยน กล่าวว่า “พี่ไม่เป็นไรหรอก วานาอัน (Wanaan) พี่แข็งแรงออกจะตายนี่ไงเห็นไหม?”
เด็กชายว่าพลางทำท่าเบ่งกล้ามให้ดู เด็กหญิงหัวเราะคิก ดวงตากลมโตสีน้ำตาลเป็นประกายสดใส เซนทอร์น้อย เดินเข้ามาสมทบด้วย “ใช่ ข้ารับประกันเรื่องความทรหดของพี่ท่านเลย ถ้าเทียบกับเด็กวัยสิบขวบด้วยกัน ข้าให้พี่ของท่านเป็นที่หนึ่งเลยนะ”
หนูน้อยวานาอันยิ้มอย่างภูมิใจในตัวพี่ชายจนแก้มปริ เซนทอร์น้อยเงยหน้าขึ้นมองฟ้า เมื่อเห็นว่าเริ่มบ่ายคล้อยลงมากแล้วจึงต่างร่ำลากันกลับบ้านของตน ขณะที่สองพี่น้องเดินผ่านป่าไปได้สักครู่ ชั่วขณะนั้นเองทั้งสองก็ได้ยินเสียงแตรล่าสัตว์ดังแว่วอยู่ไกล ๆ เด็กชายเงยหน้าขึ้นมองฟ้าก็เห็นฝูงนกบินหนีมาจากทิศทางตรงข้าม เด็กชายก้มหน้ามองน้องสาวของตนด้วยสีหน้าครุ่นคิดพลางมองกลับขึ้นไปบนท้องฟ้าอีกครั้งแล้วจึงหันกลับมาและคุกเข่าลงมองตาของน้องสาว
“วานาอัน น้องเดินกลับบ้านไปเองได้ไหม? พี่จะไปดูอะไรทางโน้นสักหน่อยแล้วเดี๋ยวพี่จะรีบตามกลับไป”
เด็กหญิงมองหน้าพี่ชาย คิ้วน้อย ๆ ขมวดแน่นส่ายหน้าช้า ๆ มือป้อม ๆ จับมือพี่ชายเอาไว้แน่น พี่ชายจึงใช้มืออีกข้างลูบหัวน้องสาวเบา ๆ
“งั้นเอาอย่างนี้นะ เจ้ารอพี่อยู่ที่นี่ เดี๋ยวพี่จะรีบไปรีบมา”
เด็กหญิงส่ายหน้าแรงขึ้น หน้าเบ้ น้ำตาเอ่อขึ้นคลอเบ้า เด็กชายจึงรีบพูดขึ้น
“เด็กดีอย่าร้องไห้สิ พี่คิดว่าทางโน้นต้องมีพวกมาล่าสัตว์แน่ ๆ พี่จะไปดูสักหน่อย แต่พี่ไม่อยากให้เจ้าไปด้วยเพราะว่ามันอาจมีอันตรายได้…”
เด็กน้อยได้ยินดังนั้นน้ำตาก็ร่วงเผาะไหลลงอาบสองพวงแก้ม เด็กชายเห็นดังนั้นก็ตกใจรีบเช็ดน้ำตาให้น้อง “เอาล่ะ!ก็ได้ อย่าร้องไห้นะ เจ้าไปกับพี่ก็ได้ แต่ห้ามอยู่ห่างพี่เด็ดขาดเลยนะ ตกลงไหม?”