Chapter 5 กำจัดเสี้ยนหนาม
ช่วงเวลาโพล้เพล้ในดินแดนทะเลทราย ดวงอาทิตย์ใกล้จะลับขอบฟ้า เม็ดทรายเริ่มคลายความร้อนเตรียมรับการมาของดวงจันทร์ ทว่าภายในค่ายของกองทัพแห่งซาโลมกลับว่างเปล่า แทบไม่มีทหารเหลืออยู่สักนาย นั่นก็เป็นเพราะว่านายทหารทุกนายต่างก็ตั้งกระบวนทัพอยู่หน้าค่ายพักนั่นเอง ทุกนายต่างมีอาวุธครบมือ เตรียมพร้อมรอคำบัญชาจากนายของตน ที่อีกฟากเหนือกำแพงเมืองหลวง พลธนูหลายพันนายยืนประจำการซ้อนกันหลายชั้น ทุกนายต่างก็พร้อมจะดีดสายเอ็นเพื่อห่ำหันเพื่อนร่วมชาติที่อยู่อีกฟาก
นาริส สุไลมาน ในชุดเกราะเต็มยศยืนจ้องมองประตูเมืองด้วยใบหน้าเรียบเฉย เหมือนไม่ได้สนใจปลายธนูแหลมนับพันที่ถูกเล็งมายังตน
สักครู่ใหญ่ ก็มีเสียงความเคลื่อนไหวมากมายหลังบานประตูนั้นก่อนเสียงดาลประตูเหล็กจะถูกชักขึ้น ประตูใหญ่ค่อย ๆ แง้มออก เผยให้เห็นกองทัพเพลิงหลายหมื่นนายพร้อมอาวุธครบมือยืนเตรียมพร้อมอยู่หลังบานประตูนั้น นาริสยังคงจ้องมองดูกองทัพที่อยู่เบื้องหน้าอย่างไม่สะทกสะท้าน เพียงครู่เดียวเสียงโห่ร้องของกองทัพก็ดังกระหึ่มขึ้นจนสนั่นกึกก้อง นาริส สุไลมาน สังเกตเห็นความเคลื่อนไหวจากฟากซ้ายของกองทัพ ก็รู้ว่าความต้องการของเขากำลังได้รับการตอบสนองแล้ว สีหน้าฉายแววพึงพอใจเล็กน้อยก่อนจะถูกกลบเกลือนไปเป็นเรียบเฉยดังเดิม อุ้งมือที่วางเหนือด้ามดาบกระชับแน่นขึ้น มหาอำมาตย์พยายามข่มอารมณ์พลุ่งพล่านในใจจนเหงื่อผุดขึ้นเต็มหน้าผาก ทันทีที่มาสติคอร์หุ้มเกราะสองตัวกระโจนพ้นขอบประตู เสียงไชโยโห่ร้องของบรรดาทหารซาโลมที่อยู่ภายในเมืองก็ดังสนั่น
“ขอจงทรงพระเจริญ! ขอจงทรงพระเจริญ!”
นาริส สุไลมาน หรี่ตาแคบสูดหายใจเข้าลึกจนเต็มปอดหมายจะให้อากาศช่วยดันความโกรธแค้นของตนลงไป
เพียงอึดใจเดียวราชรถสีแดงเพลิงขลิบทองดูอร่ามตาก็เคลื่อนผ่านบานประตูใหญ่ โดยมีบุรุษกำยำในชุดเกราะสีแดงยืนอยู่บนราชรถ มหาอำมาตย์ทั้งผิดหวังทั้งโกรธแค้นที่เบลซ เซจ คิดจะปั่นหัวเขาเล่น ถ้าไม่ใช่เบลซ เซจ ใครมาก็ไม่มีความหมาย มหาอำมาตย์สะบัดตัวกลับหลังและก้าวกลับค่ายทันที โดยไม่สนใจว่าราชรถนั้นยังคงเคลื่อนตรงออกมาจากประตูเมือง
“จะรีบไปไหนล่ะ ท่านนาริส?” เสียงตะโกนอย่างยียวนดังขึ้นทางเบื้องหลัง เสียงที่ชวนโมโหแต่ก็คุ้นหูอย่างประหลาด นาริสหันกลับไปมองด้วยสายตาแข็งกร้าว บัดนี้ราชรถเคลื่อนออกมาอยู่กึ่งกลางระหว่างกองทัพของนาริสและกองทัพซาโลมแล้ว
“จุ๊!จุ๊!จุ๊! จ้องมองด้วยสายตาแบบนั้นหมายความว่าอย่างไรกัน คิดจะเป็นศัตรูกับเจ้านายใหม่ของเจ้าอย่างนั้นรึ?”
“นี่เจ้าสาม...” นาริสพูดได้เพียงเท่านั้นก็ต้องชะงักค้างนัยน์ตาเบิกกว้างราวกับเห็นผี ด้วยแทบจะไม่เชื่อสายตาเมื่อใบหน้าของชายที่อยู่บนรถนั้นคุ้นหน้าเหลือเกิน มันเป็นใบหน้าของ เบลซ เซจ เมื่อสมัยสิบปีก่อน หรือยาวไกลยิ่งกว่านั้น อาจจะยี่สิบปีก่อนก็ได้ เพราะริ้วรอยเหี่ยวย่นแทบจะไม่มีปรากฏให้เห็น
“นี่มันอะไรกัน? เจ้าคือเบลซ เซจ อย่างนั้นหรือ?”
“ฮี่!ฮี่!ฮี่! ชอบสิ่งที่เจ้าเห็นไหมล่ะ?” กษัตริย์เบลซ เซจ ทรงหัวเราะเสียงแหลม
“ข้าไม่สนใจหรอกว่าเจ้าใช้วิชาวิปริตอะไร ถึงทำให้ดูเยาว์วัยลงเช่นนี้ ข้าสนใจแต่เพียงว่า เจ้าถือสิทธิ์อะไรแต่งตั้งตนเองขึ้นเป็นกษัตริย์ ก่อการปฎิวัติ ลอบสังหารพระราชินี ซ้ำยังสังหารขุนนางและประชาชนมากมายนับไม่ถ้วน เสียแรงที่องค์ซาดินโปรดปรานชุบเลี้ยงเจ้าไว้ข้างกาย แต่เจ้ากลับไม่ทิ้งสันดานงูร้ายที่เลี้ยงไม่เชื่อง แว้งกัดผู้ที่มีบุญคุณกับเจ้า ...”
“หุบปาก! หากเจ้าพูดด่าทอข้าอีกคำเดียว ข้าจะถือว่าเจ้าเป็นกบฏ” กษัตริย์เบลซ เซจ ทรงกริ้วโกรธเป็นกำลังเพราะนอกจากนาริสจะไม่มีทีท่าศิโรราบให้กับพระองค์แล้ว ยังประณามพระองค์อีกด้วย
“แล้วเจ้าทำอะไรกับพระโอรส พระองค์อยู่ที่ไหน?!” นาริสถามด้วยน้ำเสียงเครียดขึงแข็งกร้าว
พระพักตร์ของกษัตริย์เบลซ เซจ กระตุกขึงเหมือนทรงได้ฟังเรื่องขัดพระทัย แต่ก็เพียงชั่วแวบหนึ่งก่อนจะกลายเป็นพระพักตร์ยิ้มเยาะ แต่ก็ไม่อาจรอดพ้นสายตาของมหาอำมาตย์ไปได้ อารมณ์ที่ปรากฏเพียงชั่วแวบเดียวนั้นหมายความว่าอย่างไรกัน มหาอำมาตย์ ขมวดคิ้วหรี่ตาแคบ หรือเบลซ เซจ จอมเจ้าเลห์จะปิดบังเรื่องบางอย่างไว้อีก
“ว่าอย่างไร?! เจ้าเอาพระโอรสไปซ่อนไว้ที่ไหน?” นาริส สุไลมาน ถามเสียงกร้าว
“เจ้าพูดอะไรของเจ้า! พระโอรสทรงสิ้นพระชนม์พร้อมกับพระมารดาในกองเพลิงแล้ว ข้าพยายามช่วยพระองค์สุดความสามารถ แต่ก็ไม่อาจช่วยได้ทันการณ์ หลังเหตุการณ์นั้น ข้าก็ไม่อาจทิ้งจักรวรรดิซาโลมให้ร้างผู้นำได้ ในเมื่อ...กษัตริยซาดินทรงแต่งตั้งข้าเป็นผู้สำเร็จราชการแทน ...”
“ข้าไม่เห็นว่ามีผู้สำเร็จราชการที่นี่สักคน” นาริส ตอบเสียงแข็งด้วยใบหน้าแทบจะเหลืออด
“ก็ในเมื่อพระโอรสไม่อยู่ที่นี่แล้ว ข้าก็มีสิทธิโดยชอบธรรมในการเฟ้นหาผู้ที่เหมาะสมขึ้นครองราชย์แทน”
“เลยอุปโหลกตัวเองเสียเลยอย่างงั้นล่ะสิ” นาริสกล่าวเสียดสี และเย้ยหยันอย่างรังเกียจ “แหม...ช่างพอเหมาะพอเจาะไปเสียหมด เหมือนว่าเป็นไปตามแผนชั่วของคนชั่ว ๆ ที่ชอบทำกัน”
“เหลวไหล!” กษัตริย์มารตรัสเสียงสั่นด้วยเริ่มเก็บความกริ้วไว้ไม่อยู่ “พระนางเนริมอร์ ทรงปลงพระชนม์พระองค์เอง เพราะทรงเสียพระทัยที่เห็นพระศพพระสวามีจนคลุ้มคลั่ง และเผาทำลายปราสาทไปพร้อม ๆ กับพระนางเองต่างหาก ใคร ๆ ก็รู้” กษัตริย์เบลซ เซจ ตรัสโต้
“นั่นเป็นเพราะเจ้าทำให้เข้าใจเช่นนั้น อย่านึกว่าข้าจะหลงกลลูกไม้ต่ำ ๆ ของเจ้าอีก” นาริส สุไลมาน กล่าวอย่างดุเดือด