Chapter 4 รุ่งอรุณแห่งความมืด
ภายในพระราชวังแห่งอาณาจักรวรรดิซาโลมที่ถูกบูรณะสร้างขึ้นใหม่แทนหลังเก่าที่ถูกระเบิดเผาทำลายไป เวลานี้กำลังมีงานเลี้ยงฉลองการสถาปนาตั้งตัวเป็นกษัตริย์ของเบลซ เซจ เป็นวันที่สิบแล้ว กษัตริย์เบลซ เซจ ทรงบัญชาให้มีการเลี้ยงฉลองถึงสิบห้าวันสิบห้าคืน ทั่วทั้งปราสาทถูกประดับประดาด้วยผ้าสีแดงและดำอันเป็นสีที่กษัตริย์เบลซ เซจ ทรงเลือกให้เป็นสีประจำพระองค์ ตัวปราสาทที่เคยงดงามถูกแทนที่ด้วยอาคารปิดทึบแลดูชวนอึดอัด ไม่มีดอกไม้ต้นไม้ที่สวยงามประดับ มีแต่เพียงภาพวาดรูปเหมือนของกษัตริย์เบลซ เซจ ในชุดเครื่องทรงเต็มยศแสดงอิริยาบถต่าง ๆ ประดับตามผนังกำแพง หรือไม่เช่นนั้นก็จะเป็นภาพวาดฉากสงครามหรือการทรมานเข่นฆ่าเชลยศึกและบรรดาผู้ต่อต้านพระองค์ ทั้งนี้ก็เพื่อเตือนใจบรรดาข้าราชบริพารให้รู้สึกถึงความโหดน่ารักมของพระองค์และตระหนักถึงโทษทัณฑ์ที่จะได้รับหากคิดเป็นปฏิปักษ์กับพระองค์ ซึ่งก็ดูเหมือนจะได้ผลดีทีเดียว เพราะตั้งแต่บรรดาผู้ที่ยังจงรักภักดีต่อกษัตริย์ซาดินถูกสังหารโหดด้วยวิธีต่าง ๆ นานา กลางลานหน้าปราสาทต่อหน้าประชาชนซาโลม ก็ทำให้บรรดาผู้ที่รักตัวกลัวตายทั้งหลายยอมเข้าพวกสวามิภักดิ์ต่อพระองค์แทบจะทันที ส่วนบรรดาผู้ที่ไม่ยอมสวามิภักดิ์ก็ถูกติดตามไล่ล่าอย่างหนัก บรรดาขุนนางใหม่ที่เข้ารับตำแหน่งแทนต่างก็พยายามประจบสอพลอเพื่อให้เป็นที่พอพระทัยของกษัตริย์องค์ใหม่ ไม่ใช่เพราะจงรักภักดีแต่เพื่อรักษาชีวิตและแสวงหาผลประโยชน์เท่านั้น ฝ่ายกษัตริย์เบลซ เซจ เมื่อทรงแต่งตั้งตนเองขึ้นเป็นกษัตริย์แล้ว ก็หลงระเริงในอำนาจ นอกจากจะทรงเลี้ยงฉลองทั้งวันทั้งคืนยาวนานหลายวันติดต่อกันแล้ว ยังทรงขึ้นภาษีประชาชนและสั่งเกณฑ์ทหารเพิ่มขึ้นอีกทำให้ประชาชนที่อยู่อย่างลำบากยากแค้นกันอยู่แล้วยิ่งมีชีวิตลำบากลำเข็ญกันมากขึ้น เมื่อมีชีวิตที่ลำบากมากขึ้นผนวกกับความกังขาในการหายตัวไปอย่างลึกลับของรัชทายาท ซ้ำยังเรื่องการสวรรคตอย่างน่าสงสัยของราชินีเนริมอร์ จึงทำให้ประชาชนเริ่มไม่พอใจ และกระด้างกระเดื่องต่อกษัตริย์เบลซ เซจ แม้จะเพิ่งสถาปนาพระองค์เองขึ้นเป็นกษัตริย์ได้เพียงไม่กี่วัน มีการจับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์กษัตริย์องค์ใหม่แห่งซาโลมอย่างกว้างขวาง และแผ่ไปทุกเขตแคว้นภายใต้อาณาเขตของจักรวรรดิซาโลมอย่างรวดเร็ว
ขณะที่กษัตริย์เบลซ เซจ ทรงกำลังทอดพระเนตรการร่ายรำจากบรรดานักเต้นแห่งซาโลม (Zalom Dancer) ท่ามกลางอาหารการกิน และสุราเลิศรสมากมายจนเรียกได้ว่าสามารถเลี้ยงกองทัพย่อย ๆ หนึ่งกองทัพได้อย่างสบาย ๆ กษัตริย์เบลซ เซจทรงหัวเราะร่าอย่างมีความสุข มีนางกำนัลคอยปรนนิบัติพัดวีขนาบข้างทั้งซ้ายและขวา แต่แล้วก็มีนายทหารรีบวิ่งเข้ามาภายในห้องจัดเลี้ยงอย่างกระหืดกระหอบตรงไปหาหัวหน้าองค์รักษ์ เมื่อหัวหน้าองค์รักษ์ได้รับเรื่องแล้วก็รีบเข้าไปกระซิบที่ข้างพระกรรณกษัตริย์เบลซ เซจ พระองค์จึงทรงยกพระหัตถ์ขึ้น
ทันใดนั้นทุกอย่างในห้องก็หยุดกิจกรรมทุกอย่างลง ทั้งดนตรี การร่ายรำ การพูดคุยหรือกินดื่ม ทุกคนต่างก็เงียบมองกษัตริย์องค์ใหม่ว่าจะทรงกระทำหรือตรัสใด ๆ ด้วยใจระทึก เพื่อว่าจะได้สามารถคล้อยตามอารมณ์ของเหนือหัวได้ถูกต้อง เพราะต่างก็อยากจะประจบเอาใจกษัตริย์องค์ใหม่กันทั้งนั้น
เสียงหัวเราะดังลั่นไม่หยุดของกษัตริย์เบลซ เซจ สร้างความงุนงงให้แก่ทุกคนในห้อง ต่างก็มองหน้ากันไปมาไม่รู้ว่าทรงหัวเราะด้วยเรื่องอะไร และพวกตนสมควรจะร่วมหัวเราะไปด้วยหรือไม่
“พวกเจ้าฟังทางนี้ ฮ่า!ฮ่า!ฮ่า!” กษัตริย์เบลซ เซจ ตรัสด้วยความขบขัน “เวลานี้ ท่านมหาอำมาตย์นาริส สุไลมาน ยกทัพกลับมาจากทางเหนือ โดยที่ยังไม่ได้สู้กับแคว้นลาซาลเลยสักแอะ ซ้ำยังไม่ยอมเข้าเมืองกลับตั้งค่ายอยู่กลางทะเลทรายนั่น ร้องแร่แห่กระเชิงให้ข้าออกไปพบ ฮ่า!ฮ่า!ฮ่า!”
ทุกคนพากันหัวเราะตามแม้ว่าจะไม่ค่อยเข้าใจว่าทรงหัวเราะเพื่ออะไร ซ้ำยังมีอีกหลายคนที่ต่างมองหน้ากันด้วยความไม่สบายใจ เพราะรู้ว่ากษัตริย์เบลซ เซจ และมหาอำมาตย์นาริสไม่ถูกกันไม่ต่างจากลิ้นกับฟัน ยิ่งมหาอำมาตย์มีกองทัพกว่าสองหมื่นนายตั้งค่ายอยู่นอกเมืองเช่นนี้ ดูท่าจะมีความวุ่นวายเกิดขึ้นอีกเป็นแน่
“จงไปบอกเจ้านาริส ว่าข้า...จะออกไปพบเมื่อข้าทำภารกิจต่าง ๆ เสร็จสิ้นแล้ว ฮ่า!ฮ่า!ฮ่า!” กษัตริย์เบลซ เซจ ตรัสทิ้งท้ายโดยไม่ยอมบอกระยะเวลาที่แน่นอนเพราะหมายจะแกล้งมหาอำมาตย์เฒ่า “พวกเจ้าจงดื่มกินกันต่อไป ข้าจะไปจัดการอะไรซักหน่อย”
กษัตริย์เบลซ เซจ ตรัสด้วยน้ำเสียงร่าเริงพลางโบกพระหัตถ์ให้ทุกคนนั่งลง ทันทีที่กษัตริย์เบลซ เซจ เสด็จคล้อยหลังไป เสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็ดังกระหึ่มไปทั่วทั้งห้อง
ที่ภายนอกกำแพงเมืองแห่งจักรวรรดิซาโลม ท่ามกลางทะเลทรายอันแสนร้อนระอุ กลับมีชายผู้หนึ่งในชุดผ้าคลุมสีน้ำตาลอ่อนยืนนิ่งจ้องมองบางส่วนของปราสาทหลังใหม่ที่อยู่สูงเลยล้ำฉากกำแพงและอาคารบ้านเรือนอยู่ลิบ ๆ ผ้าคลุมนั้นปกปิดมิดชิดจนเห็นแต่ส่วนตาที่แดงก่ำจ้องมองตรงไปทางปราสาทเท่านั้น ริ้วรอยเหี่ยวย่นและหมองคล้ำรอบดวงตานั้น บ่งบอกมากกว่าแค่ความชรา แต่มันบอกถึงความเหนื่อยล้า ความทุกข์โศก เสียใจ ความเครียดขึง ความโกรธ และความอัปยศอดสู มันเป็นความผิดพลาด ครั้งใหญ่ในชีวิตของเขา เขามันโง่งี่เง่าที่หลงไว้ใจ หลงเชื่อว่าเบลซ เซจ จะมีสำนึกในบุญคุณของกษัตริย์ซาดินที่คอยคุ้มหัวตน และไม่เคยคิดว่า เบลซ เซจ จะกล้าทำการใหญ่ถึงเพียงนี้เพียงลำพัง เพียงแค่เขาจมอยู่กับอารมณ์เศร้าโศกเสียใจกับการจากไปของกษัตริย์ซาดิน ทำให้เขาสติปัญญาบอดได้ถึงขนาดไม่ทันเฉลี่ยวใจกับเล่ห์เพทุบายของจิ้งจอกเฒ่า