Chapter 3 เด็กบ้านบันดารา
ณ เมืองอาวีเลียแห่งอาณาจักรฟีเลเซีย ซึ่งมีกองกำลังทหารทั้งฝ่ายฟูดินันและฟีเลเซียจำนวนหลายแสนนายประจำการณ์อยู่ ทำให้ทั้งเมืองค่อนข้างที่จะแออัดยัดเยียดกัน และแลดูไม่เหลือเค้าเมืองชนบทอันสวยงามอีกแล้ว รอบกำแพงเมืองอาวีเลียที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ภายในเวลาไม่กี่เดือน เวลานี้สูงลิ่วและแน่นหนาแข็งแรงยิ่งกว่าเมืองใด ๆ ในอาณาจักรฟีเลเซีย หากใครสักคนจะมองดูยอดกำแพงเมืองก็ต้องเงยหน้าจนคอตั้งบ่าจึงจะมองเห็นได้ และความหนาของกำแพงก็กว้างขวางเสียจนสามารถนำมังกรขนาดโตเต็มวัยขึ้นไปยืนได้อย่างสบาย ๆ ทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันการโจมตีที่แสนจะหนักหน่วงของกองทัพเพลิงแห่งซาโลมนั้นเอง หากเป็นกองทัพจากอาณาจักรขนาดกลางและขนาดเล็กได้มาเห็นความแข็งแกร่งของกำแพงเมืองแห่งอาวีเลียก็คงแทบสิ้นหวังและถอดใจ ถ้าจะต้องทลายกำแพงนี้เพื่อพิชิตเมืองอาวีเลียที่อยู่ภายใน แต่กับมหากองทัพที่มีจำนวนมากมายมหาศาล และแปลกประหลาดราวกับกองทัพจากขุมนรกของจักรวรรดิซาโลมซึ่งไม่กลัวแม้ความตาย ทำให้กำแพงเมืองแห่งนี้ต้องรับศึกหนักมากมายหลายครั้งหลายครา จนปรากฏร่องรอยการสู้รบมากมายที่ผิวกำแพงด้านนอก และต้องทำการซ่อมแซมอยู่เสมอทุกครั้งที่มีโอกาส
ที่อีกฟากของเมืองอันเป็นที่ตั้งของจวนเจ้าเมือง ซึ่งถูกดัดแปลงเป็นศูนย์บัญชาการรบของกองทัพฟีเลเซียตั้งแต่กองทัพร่วมฟีเลเซียและฟูดินันสามารถยึดเมืองคืนจากกองทัพซาโลมได้สำเร็จ เวลานี้ภายในห้องโถงใหญ่เนืองแน่นไปด้วยบรรดาแม่ทัพนายกองจากทั้งฝ่ายฟีเลเซียและฟูดินัน เสียงพูดคุยถึงข่าวสารการรบต่าง ๆ ดังเซ็งแซ่ไม่หยุด
“กษัตริย์ซิกมันด์ที่สามเสด็จแล้ว” เสียงแจ้งการมาถึงของกษัตริย์ซิกมันด์ที่สามทำให้เสียงเซ็งแซ่ภายในห้องโถงสงบลง
กษัตริย์ซิกมันด์ที่สามเสด็จเข้ามาอย่างรวดเร็วจนชายผ้าคลุมสีเหลืองโบกสะบัด สีพระพักตร์ยังคงฉายแววหยิ่งทะนง และภาคภูมิใจในเลือดสีน้ำเงินของพระองค์ เฉกเช่นสายลมโหมกล้าที่พัดผ่านอาณาจักรฟีเลเซียไม่เคยเปลี่ยน
“ถวายบังคม ฝ่าบาท” เสียงจากเหล่าแม่ทัพทหารดังขึ้นแทบจะพร้อมกันเพื่อรับเสด็จ
กษัตริย์ซิกมันด์ที่สามทรงก้าวขึ้นประทับบนบัลลังก์อย่างองอาจท่ามกลางรอยยิ้มอย่างภาคภูมิใจในองค์กษัตริย์ของตนจากบรรดาแม่ทัพนายกองฟีเลเซีย
“ข่าวจากหน่วยสอดแนมยังมาไม่ถึงอีกหรือ?” กษัตริย์ซิกมันด์ตรัสเสียงเฉียบ
“ทูลฝ่าบาท คงใกล้จะมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ เพราะหัวหน้าหน่วยสอดแนมให้คนมาแจ้งตั้งแต่ชั่วยามที่แล้ว ว่าสายสืบที่ส่งไปจวนจะเข้าเขตเมืองอาวีเลียแล้ว” จอมทัพชาร์ล คาร์แลนซ์ ทูลในขณะที่องค์กษัตริย์ทรงพยักพระพักตร์ตอบ
“แล้วสถานการณ์ต่าง ๆ เป็นอย่างไรบ้าง ? ทุกอย่างเรียบร้อยดีอยู่หรือไม่?” กษัตริย์ซิกมันด์ตรัสถาม
“ฝ่าบาท ปีกกำแพงฝั่งซ้ายที่ถูกโจมตีอย่างหนักเมื่อการศึกที่แล้ว เวลานี้เราสามารถซ่อมแซมจนเกือบสมบูรณ์แล้วพ่ะย่ะค่ะ” กองแม่ทัพทูลขึ้น
“ในส่วนของเสบียงคลัง ขณะนี้ลดน้อยลงไปมากพ่ะย่ะค่ะ เพราะเราเพิ่งจะผ่านฤดูหนาวมา ทำให้การปลูกพืชเก็บเกี่ยวไม่ค่อยได้ผลดีนัก แต่กระหม่อมเพิ่งจะสั่งการเร่งด่วนให้พวกชาวบ้านในเขตทางใต้เร่งการเพาะปลูกให้ทันฤดูเก็บเกี่ยวในอีกสามเดือนข้างหน้านี้ หากได้ผลผลิตตรงตามเป้า เราก็น่าจะมีเสบียงพอเลี้ยงกองทัพจนถึงฤดูหนาวหน้า” แม่ทัพฝ่ายเสบียงคลังทูล
“ข้าต้องการความมั่นใจจากเจ้าว่า เราจะสามารถเก็บเกี่ยวได้ตามจำนวนที่วางไว้ และหากเก็บเกี่ยวไม่ได้ตามที่คาดไว้ เจ้าจะทำอย่างไร? จงหาเสบียงสำรองเผื่อไว้ด้วย ข้าต้องการแน่ใจว่ากองทัพของเราจะไม่ต้องอดอยากในฤดูหนาวหน้า” กษัตริย์ซิกมันด์ตรัสเสียงเฉียบอีกครั้ง
“พ่ะย่ะค่ะ” แม่ทัพฝ่ายเสบียงคลังขานรับเสียงหนักแน่น
“ฝ่าบาท กระหม่อมกำลังเตรียมประกาศเกณฑ์ไพร่พลเพิ่มอีกหลายหมื่นนายเพื่อเสริมกำลังทัพ เพราะการศึกที่ยืดเยื้อและทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้เราเสียกำลังพลไปไม่น้อยเลยทีเดียว” แม่ทัพชาร์ลกล่าวทูล
“มันน่าโมโหนัก ไอ้พวกเถื่อนนั่น แทนที่กษัตริย์ของพวกมันตายจะทำให้กองทัพอ่อนแอลง ที่ไหนได้! กลับกลายเป็นมีกองทัพแปลกประหลาดและแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม ซ้ำยังมีแม่ทัพประหลาดที่ให้ความรู้สึกชวนขนลุกนั้นอีก แทนที่เราจะสามารถตีโต้ผลักดันพวกกองทัพเพลิงนี่ออกจากเขตแดนของเรา กลับต้องมาผลัดกันรุกผลัดกันรับแย่งชิงดินแดนกันไปมาอยู่เช่นนี้” ตรัสพลางก็ทรงทุบพระหัตถ์ลงกับที่เท้าแขนด้วยความกริ้วโกรธ
“หัวหน้าหน่วยสอดแนม ฟลอคเนอร์ ขอเข้าเฝ้า” เสียงประกาศการมาถึงของหัวหน้าหน่วยสอดแนมยังความยินดีมาให้ทุกคน เพราะต่างก็อยากรู้ความเป็นไปของฝ่ายศัตรูเพื่อหาข้อได้เปรียบ
ฟลอคเนอร์ชายวัยหนุ่มฉกรรจ์ในชุดเกราะครึ่งท่อนสีเขียวอ่อนแค่ช่วงอก มีผ้าสีแดงสดพันอยู่รอบคอ สวมกางเกงผ้าเนื้อหนาสีน้ำตาล ใบหน้ามีรอยบากเหนือตาขวาอันบ่งบอกถึงการผ่านสถานการณ์คับขันมาแล้วไม่น้อย
ฟลอคเนอร์ก้าวเท้าเข้ามาอย่างเงียบเชียบจนไม่มีใครได้ยินเสียงฝีเท้าของเขา หากทุกคนในห้องนี้ปิดตาลง คงยากที่ใครจะบอกได้ว่าชายผู้นี้เดินมาถึงส่วนใดของห้องแล้ว ฟลอคเนอร์ถวายความเคารพก่อนจะยืนตัวขึ้นตามสัญญาณมือของกษัตริย์ซิกมันด์