Chapter 4 เตรียมการรบ
ในขณะที่แสงทองของวันใหม่เพิ่งจะสาดแสงไปทั่วจักรวรรดิซาโลมได้ไม่นานนัก แต่ในท้องพระโรงกลับเนืองแน่นไปด้วยบรรดาเหล่าแม่ทัพนายกอง เสนาอำมาตย์น้อยใหญ่ เนื่องด้วยว่าวันนี้มีการประชุมหารือกันเรื่องการเตรียมความพร้อมในด้านต่าง ๆ สำหรับการทำศึก
เบลซเซจและนาริสซึ่งยืนอยู่ทางซ้ายและขวาของบัลลังก์พระที่นั่งต่างก็ยืนนิ่งมิพูดอะไรกันเลย เบลซเซจ นั้นชำเลืองมองนาริสเป็นครั้งคราว หากแต่ทุกครั้งจะแฝงแววยิ้มเยาะอยู่ในที ฝ่ายมหาอำมาตย์เฒ่าจึงยิ้มน้อย ๆ อย่างรู้ทันกล่าวว่า
“ท่านอยากจะพูดอะไรหรือ? ท่านอุปราช”
“หึหึ ท่านคิดจะทำอะไรรึ?มหาอำมาตย์ผู้ยิ่งใหญ่ ถึงได้ลอบเข้าเฝ้าเจ้าเหนือหัวเป็นการส่วนพระองค์ในยามวิกาลเช่นนั้น”
นาริสหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะพูดว่า “อ้า! หูตาของท่านนี่ช่างกว้างไกลดีแท้ ข้าเลื่อมใสฝีมือการสืบและสอดส่องของท่านจริง ๆ แม้มดสักตัวก็คงไม่พ้นสายตาเป็นแน่”
เบลซเซจยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ “คงแปลกน่าดู ถ้ามหาอำมาตย์แห่งซาโลมคิดหาทางยับยั้งสงคราม”
“ข้าก็ไม่ได้ตั้งใจจะทำเช่นนั้นหรอก ท่านอุปราช” นาริสยิ้ม
เบลซเซจหรี่ตาลงข้างหนึ่งจ้องมองนาริสอย่างระแวดระวัง คิดสงสัยว่านาริสจะทำอะไรกันแน่ เมื่ออำมาตย์เฒ่าเห็นดังนั้นก็หัวเราะในลำคอมิตอบใด ๆ อีก ชั่วอึดใจเสียงทหารยามก็ประกาศก้อง
“กษัตริย์ซาดิน เสด็จแล้ว”
ทั่วทุกคนในท้องพระโรงต่างก็รีบลุกขึ้นถวายความเคารพ กษัตริย์ซาดินซึ่งอยู่ในชุดเต็มยศก้าวขึ้นบัลลังก์อย่างองอาจ เมื่อองค์กษัตริย์ประทับบนบัลลังก์เรียบร้อยแล้วจึงส่งสัญญาณให้เหล่าเสนาอำมาตย์และแม่ทัพนายกองต่าง ๆ นั่งลง
“บัดนี้ซาโลมจะประกาศสงครามกับดินแดนต่าง ๆ ทั่วทวีปเมอร์ริเซียเพื่อสร้างยุคใหม่ขึ้น ข้าอยากรู้ว่าสภาพการณ์ของกองทัพขณะนี้เป็นอย่างไร?”
กษัตริย์หนุ่มตรัสถามขึ้นพลางหันพระพักตร์ไปยังเหล่าแม่ทัพที่นั่งเรียงรายอยู่ทางฝั่งขวาของบัลลังก์ นายทหารที่นั่งทางหัวแถวค่อย ๆ ลุกขึ้นช้า ๆ เผยให้เห็นร่างที่สูงใหญ่ยักษ์กำยำซึ่งทำให้ทหารยามภายในห้องแลดูตัวเล็กลงไปถนัดตา ใบหน้าที่อยู่ภายใต้เงามืดของหมวกเหล็กดูดุดัน อีกทั้งชุดเกราะสีม่วงดำที่ทำมาจากส่วนกะโหลกของมังกร และรวมถึงเคียวมรณะ(Dead Scythe) ที่แผ่รังสีอำมหิตออกมาอยู่ตลอดเวลา ยิ่งทำให้นายทหารผู้นี้น่าสะพรึงกลัวยิ่งขึ้น นายทหารผู้นี้ก็คือ ยอดขุนพลแห่ง ซาโลม ซึ่งมีฉายาว่าจอมทัพกระหายเลือด ราโชยู(Rachoyu ,Bloodlust General) นั้นเอง ราโชยู โค้งเล็กน้อยแล้วจึงกล่าวทูลด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“ทูลฝ่าบาท เหล่าทหารของเราซึ่งเรียกกลับมาประจำการณ์ บัดนี้มีห้าหมื่นเศษ เป็นทหารฝีมือดีเสียสองหมื่น อีกทั้งกองสนับสนุนอันได้แก่กองกำลังนกโมฮา(Zalom’s Rider) เจ็ดร้อยนาย มือเพชฌฆาตแห่งซาโลม(Zalom’s Headman) ห้าร้อยนาย ผู้ฝึกสัตว์ประหลาด(Zalom’s Tamer) หกร้อยนาย นักรบเพลิงมาร(Evil Fire Warrior) ห้าร้อยนาย ฮาโวก้า(Havoca) แปดร้อยตัว มังกรซาลามันเดอร่า(Salamandera) ยี่สิบตัว อีกทั้งสัตว์ประหลาด และอสูรกายเผ่าต่างๆอีก ห้าร้อยตัว รวมทั้งสิ้นเบ็ดเสร็จก็ร่วมหกหมื่นพ่ะย่ะค่ะ”
กษัตริย์ซาดินได้ยินดังนั่นก็ทรงขมวดคิ้วเข้าหากันทันที “กำลังทหารเพียงเท่านี้ แล้วจะเพียงพอต่อการทำศึกใหญ่นี้ได้อย่างไร?”
“ที่เหลือทหารเพียงเท่านี้ก็สืบเนื่องมาจากเมื่อคราวที่ยกทัพไปปราบ เยซีฮาน (Yacehan ,the Lord of Larzal) ที่แคว้น ลาร์ซาล(Larzal) ครั้งนั้นทำให้เราสูญเสียทหารไปมากทีเดียว ข้าพระองค์จึงมีความเห็นว่าเราอาจจะต้องว่าจ้างพวกนักรบรับจ้างจาก เผ่ามอร์ (Mor Mercenary) ซึ่งเป็นเผ่านักรบที่เก่งกาจมาเสริมทัพอีกส่วนหนึ่ง” ราโชยูกราบทูล
“เยซีฮาน!!” กษัตริย์ซาดินทรงเคี้ยวฟัน พระพักตร์เริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง โทสะพลันพรั่งพรูขึ้นเมื่อได้ยินชื่อนี้ ทรงประกาศก้องทั่วท้องพระโรง “เยซีฮาน ไอ้กบฎทรยศมันบังอาจตั้งตัวเป็นปฏิปักษ์กับข้า หากไม่ใช่เพราะแคว้น ลาร์ซาล อยู่ในพื้นที่ที่ได้เปรียบ รวมทั้งแหล่งน้ำมันธรรมชาติที่อยู่บริเวณนั้นอย่างมากมายแล้วล่ะก็ ข้าคงพิชิตแคว้นเล็กกระจ้อยร่อยนั่นได้นานแล้ว และมัน ไอ้เยซีฮาน ก็จะต้องพบจุดจบอย่างน่าอนาถด้วยน้ำมือข้า”
บรรยากาศในที่นั้นตึงเครียดขึ้นทันที ด้วยว่าเมื่อกษัตริย์ซาดินทรงลุแก่โทสะแล้วไม่ว่าใครก็ไม่อาจทัดทานได้ นาริสจึงกล่าวปรามขึ้น
“ฝ่าบาท โปรดทรงคลายโทสะลงก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ แคว้น ลาร์ซาล นั้นไม่ใช่เพียงแค่ตั้งอยู่ในทำเลที่ดี มีทรัพยากรน้ำมันที่อุดมสมบูรณ์เท่านั้น หากแต่ตัวเยซีฮานเองก็ขึ้นชื่ออยู่ว่าเป็นแม่ทัพที่เชี่ยวชาญการศึกนัก อีกทั้งเมื่อคราวที่ยังรับใช้ฝ่าบาทอยู่นั้น ก็ได้เรียนรู้กลศึกแผนการรบจากพระองค์ไปไม่ใช่น้อย ผนวกกับทุนเดิมที่เป็นคนเฉลียวฉลาด เยซีฮานจึงสามารถแก้เกมการรบของพระองค์ได้ทุกครั้ง แต่อย่ากระนั้นเลยแคว้นลาร์ซาลไม่ใช่สาระสำคัญในการประชุมวันนี้ ในเมื่อพระองค์หมายจะพิชิตเมอร์ริเซียนี้จำนวนทหารที่เรามีอยู่คงต้องเสริมขึ้นอีกอย่างน้อยสามเท่าตัว”
“หืมม์! สามเท่าตัวเป็นอย่างน้อยรึ?” ซาดิน ทรงใช้พระหัตถ์ลูบคางตรัสด้วยความประหลาดใจ
นาริสยิ้มเล็กน้อยก่อนจะทูลด้วยสีหน้าราบเรียบ “ถูกแล้วพ่ะย่ะค่ะ พระองค์อย่าทรงลืมว่าแม้กองทัพของเยซีฮานไม่ใหญ่นักเมื่อเทียบกับกองทัพอันเกรียงไกรของพระองค์ ซ้ำยังไม่เคยยกทัพมาประชิดเราสักครั้ง แต่หากพระองค์ยกทัพใหญ่ไปทำสึกกับเมอร์ริเซียแล้ว กระหม่อมเกรงว่าเยซีฮานอาจใช้โอกาสนี้บุกซาโลมก็เป็นได้พ่ะย่ะค่ะ”
“จริงของท่าน” กษัตริย์ซาดินขมวดคิ้วอย่างครุ่นคิด แววเนตรยังขึงโกรธ “สักวันข้าต้องบั่นหัวมัน ไม่ให้อยู่เป็นหอกข้างแคร่ข้าอีก… ท่านนาริส การศึกที่ทั้งห่างไกลทั้งต้องระวังรอบด้าน เหล่าอสูร และมังกรคงต้องมากกว่ามิใช่แค่สามเท่า หากต้องเป็นห้าหรือหกเท่าทีเดียว ทั้งทหารที่มีฝีมือต้องจำนวนเรือนแสนขึ้นไปเท่านั้น ไหนยังต้องฝึกให้รู้จักการรบในภูมิประเทศที่แตกต่างอีก อือม์.........”