Chapter2 The Sun
รุ่งเช้าของวันใหม่เมื่อแสงแห่งดวงอาทิตย์สาดส่องไปทั่วจักรวรรดิซาโลม หลายชีวิตเพิ่งจะเริ่มวันใหม่ได้ไม่นานนัก หากแต่ที่ท้องพระโรง ณ ใจกลางปราสาทนั้นกลับคลาคล่ำไปด้วยเหล่าบรรดาแม่ทัพ นายกอง เสนาอำมาตย์น้อยใหญ่ ซึ่งมาชุมนุมกันอย่างพร้อมเพรียง ทุกคนต่างก็นั่งอยู่บนเบาะทรงกลมใบใหญ่หลากสีที่เรียงรายอยู่สองฝั่งข้างท้องพระโรง ลดหลั่นกันไปตามลำดับยศ เหล่าทหารยามร่างใหญ่กำยำหลายนายถือดาบโค้งเสี้ยวพระจันทร์ยืนประจำตามเสาภายในท้องพระโรงด้วยท่าทางแข็งขัน เสียงพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องการบ้านการเมืองดังอื้ออึงไปทั่วท้องพระโรงนั้น ที่ฐานบัลลังก์ทองคำอันประดับด้วยขนทองของกริฟฟิน มีบุรุษสองคนยืนขนาบทั้งด้านซ้ายและด้านขวาอยู่ บุรุษผู้อยู่ทางซ้ายมือนั้นก็คือ อุปราชเบลซ เซจนั้นเอง
เบลซ เซจนั้นมีใบหน้าที่ยาวแหลม แก้มตอบ จมูกงุ้มงอ ริมฝีปากบางดำคล้ำ ไว้หนวดยาวแหลมที่ใต้คาง รูปร่างผอมสูงชะลูด ผิวขาวซีดจนดูเขียวคล้ำ คิ้วยาวเหยียดตรงปลายคิ้วชี้สูง หากแต่ดวงตานั้นกลับแหลมคมรีเล็กราวกับพญาเหยี่ยวที่คอยจ้องจับเหยื่อ ชวนให้รู้สึกขนพองสยองเกล้าทุกครั้งยามเมื่อถูกจ้องมอง อีกทั้งท่วงท่าสีหน้าและการวางตัวนั้นก็สงบนิ่งยากนักที่จะคาดเดาใจได้
ซึ่งต่างกับบุรุษผู้ที่ยืนอยู่ทางเบื้องขวายิ่งนัก บุรุษผู้นี้มีร่างที่กำยำกว่าทหารทั่วไป ผมหยักเป็นลอนสีน้ำตาลเข้มแซมขาว ไว้เคราดกหนา ใบหน้าคมได้รูป หากแต่มีริ้วรอยแห่งกาลเวลาปรากฏอยู่ที่หางตาและร่องแก้มทั้งสองข้าง บ่งบอกถึงวัย และประสบการณ์ที่ผ่านมาอย่างโชกโชนในวัยหนุ่ม คิ้วเข้มหนา ดวงตาสีน้ำตาลเข้มคมฉายแววแน่วแน่มุ่งมั่น จมูกเป็นสันตั้งตรง ริมฝีปากอิ่มหนา แลดูสุขุมเยือกเย็น บุรุษผู้นี้ยืนอย่างสง่าในชุดเสื้อคอปกสีขาวทับด้วยเสื้อแขนกุดสีแดงขลิบทอง กางเกงขายาวปลายพองสีแดง และผ้าคลุมกำมะหยี่เนื้อดีสีแดงเข้ม ยิ่งทำให้บุรุษผู้นี้ดูสุขุม และทรงอำนาจยิ่งขึ้น บุรุษผู้นี้ก็คือนาริส สุไลมาน มหาอำมาตย์ผู้เรืองปัญญาแห่งจักรวรรดิซาโลม ผู้เคยรับใช้พระบิดาของกษัตริย์ซาดินมาแต่ครั้งก่อนและคอยสอนสั่งในเรื่องต่าง ๆ ให้พระองค์มาตั้งแต่เยาว์วัยนั่นเอง ทั้งยังเคยช่วยชีวิตของกษัตริย์ซาดินและราชินีเนริมอร์ ดังนั้นทั้งสองพระองค์จึงต่างเคารพและให้เกียรตินาริส สุไลมานยิ่งนัก อีกทั้งยังเป็นผู้ดูแลเรื่องกฎหมายบ้านเมืองให้แก่จักรวรรดิซาโลมได้อย่างมิมีบกพร่องอีกด้วย
หากจะเปรียบไปแล้วนาริส สุไลมานก็มิต่างจากมือขวาของกษัตริย์ซาดิน ส่วนเบลซ เซจนั้นก็เป็นเสมือนมือซ้าย ซึ่งต่างก็ยิ่งใหญ่ไม่แพ้กัน ทว่าเป็นที่รู้กันดีว่านาริส สุไลมานและเบลซ เซจไม่ค่อยจะลงรอยกันเท่าใดนัก บ่อยครั้งที่มักเกิดเรื่องโต้เถียงกัน เพราะทั้งสองคนนั้นเสมอกันด้วยอำนาจ ภูมิปัญญา ความสุขุมลุ่มลึก ความหลักแหลมแห่งปฏิภาณ วัยวุฒิรึก็ไม่ต่างกันมากนัก แม้แต่กษัตริย์ซาดินเองก็ยังหน่ายใจ และไม่อาจเอนเอียงไปฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้ เพราะเกรงจะสร้างความบาดหมางแก่อีกฝ่าย จึงจำต้องเป็นคนกลางคอยอะลุ่มอล่วยประนอมความให้แก่บุคคลทั้งสองอยู่เนือง ๆ
ขณะที่ทั้งสองต่างก็ยังคงจ้องมองกันและกันด้วยสีหน้าที่ยากจะอ่านออก เสียงประกาศจากทหารก็ดังขึ้น
“กษัตริย์ซาดิน และราชินีเนริมอร์ เสด็จแล้ว”
ทันใดนั้นเหล่าเสนาอำมาตย์ต่างรีบลุกขึ้นยืนโค้งทำความเคารพ ทั่วท้องพระโรงที่เคยอึกทึก มาบัดนี้กลับเงียบสนิทไร้ซึ่งสำเนียงใด ๆ เพียงชั่วอึดใจกษัตริย์ซาดินและราชินีเนริมอร์ก็เสด็จเข้ามาภายในท้องพระโรง กษัตริย์ซาดินนั้นค่อย ๆ ย่างก้าวอย่างองอาจไม่ต่างกับราชสีห์ขึ้นสู่แท่นบัลลังก์ทองคำ โดยมีราชินีเนริมอร์เสด็จตามหลังด้วยท่วงท่าราวพญาหงส์ พระนางเสด็จไปประทับยังเบาะสีแดงสดขลิบทองใบใหญ่ที่ถูกจัดไว้ทางซ้ายเยื้องไปทางเบื้องหลังของบัลลังก์ทองคำเล็กน้อย เมื่อทุกฝ่ายต่างนั่งประจำที่เรียบร้อยแล้วกษัตริย์ซาดินจึงตรัสขึ้น
“ก่อนที่เราจะเริ่มการหารือกันในวันนี้ ข้าอยากจะฟังคำทำนายถึงบุตรชายข้าเสียก่อน” แล้วจึงหันพระพักตร์ไปทาง เบลซ เซจ
“นาซาอี เดินทางมาถึงได้สักพักแล้วพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” เบลซ เซจค้อมตัวเล็กน้อยกล่าวทูลอย่างรู้งาน แล้วจึงส่งสัญญาณให้กับทหารต้นห้อง
เสียงเบิกตัวนาซาอีดังขึ้นทันทีที่ประตูท้องพระโรงเปิดออก ปรากฏร่างหญิงสาวหุ่นเพรียวบางยืนอยู่อย่างสงบ นางอยู่ในชุดสีแดงยาวเปิดไหล่ข้างหนึ่ง ในมือของนางถือกล่องใบเล็ก ๆ ใบหนึ่งซึ่งสลักลวดลายเป็นอักขระโบราณทั่วทั้งกล่อง นางค่อย ๆ ก้าวเข้ามาอย่างแช่มช้าตามพรมสีแดงสดที่ปูเป็นทางยาวกลางท้องพระโรงนั้น สายตาของเหล่าเสนาอำมาตย์ต่างจับจ้องไปที่นาง ทั้งนี้มิใช่เพราะนางเป็นคนสวยเลิศเลอ หากแต่เพราะการทำนายของนางนั้นมิเคยผิดพลาดแม้เพียงสักครั้ง อีกทั้งยังไม่เคยมีผู้ใดได้ยินเสียงพูดคุยของนาง ทุก ๆ คำที่ออกมาจากปากของนางล้วนแล้วแต่เป็นคำทำนายทั้งสิ้น
เมื่อนาซาอีเดินมาหยุดยืนอยู่ ณ กลางท้องพระโรงตรงที่ทหารองครักษ์ได้นำโต๊ะทรงเตี้ยและเบาะรองนั่งมาจัดวางไว้ให้นั้น นาซาอีก็ค่อย ๆ โค้งคำนับกษัตริย์ซาดินและราชินีเนริมอร์อย่างช้า ๆ
“นาซาอี เจ้าคงรู้แล้วว่าข้ามีกิจใดที่เรียกเจ้ามาในวันนี้ เจ้าจงทำนายถึงซาร์ อิสฮานบุตรชายของข้าสิ!!” กษัตริย์ซาดินตรัสขึ้นด้วยน้ำเสียงกังวานเปี่ยมไปด้วยอำนาจ นาซาอีโค้งคำนับอีกครั้งก่อนที่จะนั่งลงบนเบาะที่ถูกจัดเตรียมไว้ บนโต๊ะนั้นมีผ้าสีดำผืนใหญ่ปูแผ่อยู่ นางค่อย ๆ วางกล่องในมือลงบนโต๊ะนั้น พลางเปิดกล่องหยิบสำรับไพ่ทำนายออกมา