Journeyในหมู่บ้านเล็กๆชานเมืองซานตาน่า เริ่มมีความปั่นป่วนด้วยข่าวลือฮือฮา เมื่อเด็กหญิงจนๆคนหนึ่งได้บอกว่า เธอเห็นทูตสวรรค์และนักบุญ และขอให้ทุกคนสวดภาวนาและละทิ้งบาป บางคนก็เชื่อเธอ บางคนยังสงสัย หลายคนหัวเราะเยาะเธอ หลายคนเยาะเย้ยเธอ เด็กบางคนล้อเลียนเธอ บางคนก็ด่าทอดูถูกเธอด้วยถ้อยคำหยาบคาย ชายขี้เมาคนหนึ่งถุยน้ำลายใส่หน้าเธอเมื่อเธอขอให้เขากลับตัวและไปสารภาพบาปที่โบสถ์ และป้าของเธอเองสั่งห้ามเธอทำสิ่งเหล่านี้ มิฉะนั้นจะไล่พ่อและเธอออกจากบ้าน แต่เมื่อเธอยืนกรานว่าเธอไม่ได้โกหก ป้ากลับตบหน้าเธอจนล้มลงกับพื้นและขังเธอไว้ในห้อง ถึงเวลานี้ ฟาติมาเข้าเริ่มเข้าใจว่า ความทุกข์ยากแสนสาหัสที่เธอต้องเผชิญนั้นคืออะไร
จน3-4วันต่อมา ป้าหายโกรธ และคิดว่า ฟาติมาคงไม่ทำเรื่องบ้าบอแบบนี้อีก จึงเลิกขังเธอ ฟาติมาวิ่งไปร้องไห้ที่ใต้ต้นมะเดื่อ มิใช่เสียใจที่โดนข่มเหง แต่เสียใจที่คนเชื่อน้อยเหลือเกิน และภารกิจของเธอดูเหมือนจะล้มเหลว แสงสว่างปรากฎขึ้นที่ข้างตัวเธอ สตรีผู้หนึ่งมีแสงสว่างไสว ปรากฎกายขึ้น ฟาติมาดีใจคิดว่าเป็นท่านอลาน่า แต่แล้วเธอสังเกตุว่า สตรีท่านนี้แต่งกายต่างออกไป เธอเพ่งมองเข้าไปในแสงสว่างนั้น เป็นสตรีใบหน้าคมคายแบบชาวฟูดินันและซาโลม สตรีท่านนั้นเดินมาใกล้ "หนูอย่าเสียใจไปเลย ฉันเข้าใจดีว่า ยุคสมัยของหนูนั้นต่างกับของฉัน ยุคของฉันคือยุคของชาวซานตาน่าที่เปี่ยมศรัทธา แต่ยุคของหนูนี้ศรัทธาของผู้คนเหลือเล็กกว่าเมล็ดผัก เธอรับภารกิจที่ทนทุกข์กว่าฉันมากนัก ฉันจึงขออณุญาตสวรรค์มาช่วยเหลือเธอเป็นพิเศษ" ฟาติมาตื่นเต้น คิดว่านี่คงเป็น นักบุญ อาวีลา แน่ สตรีนั้นยิ้มรับราวกับรู้ว่าเธอคิดอะไร
"เธอจงเดินทางไปยังเมืองหลวง ขอเข้าพบคาลดินัล" ฟาติมาตกใจเพราะไม่ได้เตรียมตัว "หนูต้องขออณุญาตพ่อก่อน" น. อาวีลาพยักหน้าเป็นเชิงอณุญาต "ฉันจะช่วยในเรื่องนั้น ไปเถอะ จงเชื่อมั่นในพระเจ้า ระหว่างทางพี่ชายคนหนึ่งจะร่วมทางไปกับเธอ เขาคือคนที่สวรรค์จัดเตรียมไว้สำหรับภารกิจของเธอ" ฟาติมาดีใจ เพราะคิดว่า พี่ทูตสวรรค์โฮลี่จะเดินทางไปด้วย เธอวิ่งกลับบ้าน เข้าไปปลุกพ่อ เมื่อพ่อตื่นขึ้นทำท่าตกใจเมื่อเห็นฟาติมา เธอร้องขอพ่อว่า "พ่อจ๋า หนูขอไปเมืองหลวง ไปพบพระคาลดินัล" นายลูอิสสะดุ้ง อึ้งไปครู่หนึ่ง ตอบตะกุกตะกัก"ไปเถอะ" ฟาติมางง "พ่อไม่ห้ามหนูเหรอ"
"เมื่อครู่พ่อฝัน เห็นทูตสวรรค์องค์หนึ่งมาบอกพ่อว่า ลูกสาวจะมาขอไปพบพระคาลดินัล อย่าห้ามเธอเลย แล้วลูกก็เข้ามาปลุกพ่อ"
ฟาติมารีบเตรียมเสบียงอาหารเป็นขนมปังที่กินเหลือจากเมื่อคืน และกระติกน้ำ ถ้ารีบเดินทาง อาจจะถึงเมืองหลวงก่อนมืดได้ เธอรีบวิ่งออกจากบ้าน ก่อนที่ป้าจะเห็น ในใจอธิษฐานขอบคุณพระเจ้า
หลังจากวิ่งบ้างเดินบ้างมาหลายชั่วโมง และรองเท้าของเธอเริ่มมีรอยขาด เด็กหญิงเหนื่อยหอบ จึงนั่งพักใกล้ทางแยกซึ่งจะตัดไปเมืองหลวงได้ แต่หนทางยังอีกไกล น้ำในกระติกก็เหลืออยู่ไม่มาก เธอจิบแต่น้อย และคุกเข่าลงอธิษฐาน ขอพระเจ้าคุ้มครองและประทานเรี่ยวแรงให้เธอไปถึงเมืองหลวงก่อนจะมืด เธอได้ยินเสียงเท้าม้ากุบกับ เธอลืมตามองเห็นนายทหารหนุ่มคนหนึ่ง และชายชราขับเกวียนเทียมม้าบรรทุกข้าวของเต็มเข้ามาใกล้
"แม่หนูมานั่งทำอะไรตรงนี้ พ่อแม่เธอไปไหน ทำไมปล่อยเด็กๆมานั่งกลางทางเปลี่ยวแบบนี้" ทหารหนุ่มร้องถามเธอ "หนูจะไปเมืองหลวง ไปหาพระคาลดินัลค่ะ หนูนั่งพักเท่านั้นเองค่ะ เอ่อ... ท่านผู้กอง"
ชายหนุ่มหัวเราะ "ฉันเป็นแค่นายสิบเท่านั้น ไม่ถึงขั้นผู้กองหรอก ฮา ฮา พอดีเลย ฉันคุมเกวียนส่งเสบียงไปค่ายทหารเทมพาร์ในเมืองหลวง" เขาหันไปมองเกวียนก่อนบอกว่า "บนเกวียนพอมีที่ว่าง หนูขึ้นไปนั่งสิ ถ้าเดินเท้าไปแบบนี้ กว่าจะถึงก็มืด แล้วมันอันตราย" ฟาติมาขอบคุณเขา และขอบคุณพระเจ้า รีบปีนขึ้นไปนั่งบนเกวียน เขาขี่ม้าขนาบไปข้างเกวียน พูดคุยกับเธอไปด้วย
"เด็กผู้หญิงตัวนิดเดียว เดินทางไปเมืองหลวงคนเดียวช่างกล้าหาญจริง จะไปทำอะไรล่ะ"
ฟาติมาไม่รู้ว่าเขาจะเข้าใจเธอไหม คนๆนี้ดูใจดี ทั้งหน้าตาท่าทาง และน้ำเสียง แต่ถ้าเธอพูดเรื่องมหัศจรรย์ที่เธอเจอ เขาอาจหาว่าเธอบ้าแล้วไล่เธอลงก็ได้
"หนูจะไปพบพระคาลดินัลค่ะ" ฟาติมาตอบเสียงเบา
"แล้วพ่อแม่ล่ะ"
"แม่เสียแล้วพ่อป่วยอยู่ค่ะ เอ่อ...ขอบคุณท่านผู้กองมากนะคะที่ให้หนูโดยสารมาด้วย ท่านอย่าไล่หนูลงกลางทางนะคะ"
"ฮาๆๆ บอกแล้วไง ฉันไม่ใช่ผู้กอง แล้วทำไมฉันต้องไล่หนูลงด้วยล่ะ เอาเป็นว่า ฉันรับปากจะพาหนูไปส่งจนพบพระคาลดินัลเลยดีไหม" ฟาติมาตื้นตันใจ "ขอบพระคุณมากค่ะท่านนายสิบ"
"หึๆ อย่าเรียกยศเลยเก็บไว้ให้ทหารเรียกกันเองดีกว่า ฉันชื่อ รอดรีโก้(Rodrigo) หนูชื่ออะไร"
"ฟาติมาค่ะ"
เสียงชายชราที่ขับเกวียนแทรกขึ้น "หนูวางใจได้เลย เพราะถ้ารอดรีโก้ สัญญาอะไรแล้วยังไงก็ทำให้จนสำเร็จ ชายคนนี้ได้ชื่อว่า เป็นสัจจะอันที่สองในซานตาน่าเลยนะ ฮ่าๆ" รอดรีโก้กล่าวอย่างเขินๆ"ลุงโม้เกินไปแล้ว"
"โม้อะไร ก็เจ้าเองปฎิญาณต่อพระเจ้าถือสัจจะตลอดชีวิต แล้วเจ้าก็ทำได้ดีซะด้วย เพราะสมญาที่ว่า คนทั้งเมืองเขามอบให้เจ้า ข้าก็เห็นด้วยอย่างแรง"
ฟาติมารู้สึกดีใจที่เจอคนมีศรัทธาจึงถามขึ้น "มันแปลว่าอะไรเหรอคะ สัจจะอันที่สองของซานตาน่า"
"หนูรู้จักกระจกทรงสัตย์ที่อยู่ที่วิหารประกาศกอิสอานใช่ไหมล่ะ" ชายชราถามขึ้น
"เคยได้ยินคุณพ่อที่โบสถ์พูดถึงอยู่ค่ะ"
"นั่นล่ะ ของศักดิ์สิทธิ์อีกชิ้นของนครเรา เชื่อกันว่าทูตสวรรค์นำกระจกวิเศษอันนี้ลงมาจากสวรรค์ ให้ท่านอิสฮานได้สารภาพบาปทุกอย่างที่ติดค้างในใจของท่าน เพื่อช่วยให้ท่านถึงสิ้นใจได้อย่างสงบ และนับแต่นั้น คนที่สารภาพบาปต่อหน้ากระจกนี้ หากสารภาพอย่างจริงใจและสำนึกผิดอย่างแท้จริง มันจะขจัดบาปในใจ ชำระจิตวิญญาณได้ เพราะความศักดิ์สิทธิ์ของมันนี่แหละ แล้วเมื่อเรามีของวิเศษนี้เป็นสิ่งทรงสัจจะอันที่หนึ่ง รอดรีโก้ผู้ไม่เคยพูดเท็จก็เลยโดนขนานนามว่าเป็นสัจจะอันที่สองของซานตาน่าไง"hs2s.jpg
รอดรีโก้ แทรกขึ้น "ผมคิดว่า การที่คนเรา กล้ามองหน้าตัวเองในกระจก แล้วพูดความบาป ความชั่ว หรือบาดแผลในใจใดๆของตน การที่เราเห็นตัวเราเอง เห็นดวงตาของเราเอง เห็นสีหน้าของเราเอง มันทำให้เราไม่อาจจะโกหกตัวเองได้ และนั่นทำให้เราได้สารภาพผิดอย่างจริงใจ นี่น่าจะเป็นเหตุให้เราไม่อาจโกหกต่อหน้ากระจกนี้ ใครๆถึงเรียกมันว่ากระจกทรงสัตย์"
ชายชราถอนใจ"เฮ้อ เจ้านี่น้า ชอบพูดเรื่องศรัทธาออกมาเป็นเหตุเป็นผลซะเรื่อยเลย"
"อ้าว..ผมคิดแบบนั้นจริงๆนะท่านลุง"
"เอาเถอะๆ วิธีมองโลกของเจ้า ก็เหมือนวิธีพูดของเจ้า คิดยังไงก็พูดอย่างนั้น ไม่รู้จักประดิษฐ์ประดอยถ้อยคำไม่มีวาทะศิลป์สวยหรูให้ดูน่าเชื่อ มีแค่ใช่ หรือไม่ใช่ เจ้าน่ะเล่าเรื่องตลก คนฟังยังไม่ขำเลย เล่าทื่อๆ ไม่มีลูกเล่นไม่มีหยอดมุก ยังกับรายงานข่าว...แต่นั่นคือข้อดีที่สุดของเจ้า ทุกคนเชื่อถือเจ้า และไว้ใจเมื่อเจ้ากล่าวสิ่งใดๆ นี่เขาลือกันถึงว่าเจ้ามีวาจาสิทธิ์ พูดอะไรเป็นอย่างนั้นเลยทีเดียวนะ"
"โอ๊ย ลุง นั่นน่าจะเกินจริงแล้ว ผมก็คนธรรมดา ไม่ใช่พวกคาริสมาติกซะหน่อย" รอดรีโก้ส่ายหัว
"ท่านรอดรีโก้ไม่เชื่อเรื่องอัศจรรย์เหรอคะ" ฟาติมาถามเริ่มกังวลว่า เธอจะต้องระวังที่จะพูดเรื่องมหัศจรรย์ของเธอต่อหน้าคนนี้
"อ้าว..คราวนี้เรียก"ท่าน"เลย เอาอย่างนี้ เรียกพี่แล้วกัน พี่รอดรีโก้" ฟาติมาตอบเสียงเบา "ค่ะ พี่รอดรีโก้"
รอดรีโก้ ยิ้มให้อย่างเอ็นดูเด็กหญิงก่อนตอบ "ไม่ใช่ว่าพี่ไม่เชื่อเรื่องอัศจรรย์ พระเจ้าสามารถทำสิ่งมหัศจรรย์ได้อยู่แล้ว เพียงแต่ว่า พี่คิดว่า
เราไม่ควรยึดติดกับเรื่องอัศจรรย์ หรือให้ความสำคัญกับปาฏิหาริย์ เหนือกว่าพระธรรมคำสอน คนเราจะเป็นที่พอพระทัยพระเจ้าได้ เพราะประพฤติตนเป็นคนดี ยึดถือคุณธรรมตามที่พระองค์สั่งสอน ไม่ใช่เพียงเพราะเราเชื่อว่าพระองค์ทำอัศจรรย์ได้ ฟาติมาว่าจริงไหมล่ะ"ฟาติมารู้สึกตื้นตันกับคำตอบของเขา เธอฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าเธอได้พบคนดี มีคุณธรรม แถมมีเหตุผล เขายังมีสัจจะจนคนร่ำลือ แล้วตอนนี้เขาให้เธอเรียกว่าพี่ เธอเข้าใจแล้วว่า ที่แท้นั้นสวรรค์ได้ชักนำเธอมาพบคนธรรมดาที่มีคุณธรรม ที่จะช่วยเหลือเธอ มิใช่ทูตสวรรค์อย่างที่เธอเข้าใจไปเอง เธออธิษฐานขอบคุณพระเจ้า และบรรดาชาวสวรรค์ที่ชักนำให้เธอได้เจอคนดีๆ แสงทองของยามเย็นทอดสะท้อนหอคอยทองคำอยู่ลิบๆ ฟาติมาตื่นเต้น ภาระกิจของเธอกำลังจะเป็นจริงแล้ว