Chapter 36 เมื่อสายลมและผืนดินมาบรรจบ
“นี่มันเรื่องตลกร้ายกาจของเสด็จพี่รึไง?” กษัตริย์ซิกมันด์ทรงหน้านิ่วคิ้วขมวดตรัสอย่างฉุนเฉียวทันทีที่คณะนายทหารจากเมืองเอรีมอ่านสารจากเจ้าหญิงเรจิน่าจบ
“เวลานี้กองทัพชาวป่ากว่าห้าหมื่นคนตั้งค่ายคอยท่าอยู่ที่นอกกำแพงเมืองเอรีมและพร้อมจะเคลื่อนพลทันทีพ่ะย่ะค่ะ” หัวหน้านายทหารจากเอรีมทูลรายงาน
“นี่มันเป็นการดูถูกกันอย่างชั่วร้ายที่สุด พวกมันคิดว่าข้าจะก้มกราบขอบคุณพวกมันด้วยความซาบซึ้งหรือไงที่ยกโขยงกันมาเสนอหน้าช่วยรบอย่างนี้ ฟีเลเซียไม่จำเป็นต้องให้ไอ้พวกคนป่าชั้นต่ำอย่างพวกมันมาช่วยหรอก ไล่พวกมันกลับป่าไปให้หมด!” กษัตริย์ซิกมันด์ตรัสด้วยน้ำเสียงดุเดือด
“ฝ่าบาท...” ชาร์ลเอ่ยทูลขึ้น “กระหม่อมเห็นว่าเราควรรับน้ำใจของพวกชาวป่า”
“ท่านเป็นบ้าไปแล้วรึไง!?” กษัตริย์ซิกมันด์ทรงแทบจะสำลักเสียงตะคอกออกมา ทรงจ้องหน้าชาร์ลราวกับเขากลายเป็นสัตว์ประหลาดไปต่อหน้าต่อพระพักตร์
“มิได้ ฝ่าบาท” ชาร์ลยังคงใจเย็นแม้จะถูกตะคอกและจ้องมองเช่นนั้น เขารู้จักรับมือกับนิสัยและอารมณ์ของกษัตริย์ผู้อ่อนวัยกว่าตั้งแต่เมื่อครั้งสมัยถวายการสอนเชิงยุทธ์ให้ “กระหม่อมเพียงแต่เห็นว่าเราไม่ควรจะสร้างศัตรูเพิ่มในเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ หากเราปฏิเสธพวกเขา พวกเขาอาจจะรู้สึกโกรธที่ถูกหักหน้าแล้วหันมาแก้แค้นเอากับเราได้ เราไม่พร้อมที่จะรับศึกสองด้านในเวลานี้”
“หึ ไอ้คนป่าที่ขี้ขลาดพวกนั้นนะรึ?” กษัตริย์ซิกมันด์ทรงหัวเราะเสียงขึ้นจมูก ตรัสเชิงดูแคลนเมื่อทรงนึกถึงพวกชาวป่าที่มักแอบลอบมองดูคณะล่าสัตว์ของพระองค์เมื่อสมัยที่มักข้ามไปล่าสัตว์ในเขตป่าทึบอีกฟากของวอลเนีย
“ก็มีโอกาสเป็นไปได้อย่างที่ท่านจอมทัพว่านะพ่ะย่ะค่ะ” นายทัพนายหนึ่งทูลสนับสนุนความคิดของชาร์ล ในขณะที่คนอื่น ๆ ก็พยักหน้าเห็นด้วย เพราะตามวิสัยของเหล่านักรบแห่งฟีเลเซียที่เห็นเกียรติและศักดิ์ศรีสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด หากตนถูกปฏิเสธน้ำใจอย่างไม่มีเยื่อใยก็คงต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อกู้ศักดิ์ศรีคืน
“อย่างพวกมันจะมีปัญญาทำอะไรได้!” กษัตริย์ซิกมันด์ทรงกระแทกเสียง
“แต่กำลังพลตั้งห้าหมื่นก็สร้างความเสียหายให้ได้ไม่น้อยเลยนะพ่ะย่ะค่ะ ต่อให้เป็นพวกล้าหลังเช่นนั้นก็เถอะ” นายทัพอีกคนเอ่ยทูล
“เมืองเอรีมเองก็ยังบูรณะซ่อมแซมไม่เรียบร้อย หากถูกจู่โจมขึ้นมาก็คงยากจะรับมือได้อย่างเต็มที่” แม่ทัพมังกรออกความเห็นบ้าง
“เรื่องนี้มันบ้าชัด ๆ “ กษัตริย์ซิกมันด์ทรงกระแทกองค์ใส่พนักเก้าอี้อย่างแรง พระพักตร์แดงจัดขึ้น “ชาตินักรบอย่างฟีเลเซียต้องพึ่งความช่วยเหลือของพวกชาวป่า ข้าจะเอาหน้าที่ไหนไปพบกับวิญญาณของเหล่าบรรพกษัตริย์กัน”
ที่ประชุมต่างก็พากันเงียบเสียงลง ต่างก็มีสีหน้าอึดอัดใจอยู่ไม่น้อย ตลอดระยะเวลาอันยาวนานของประวัติศาสตร์ ฟีเลเซียยืนหยัดด้วยกำลังของตนเสมอมา ปราบทั้งผู้รุกรานและสัตว์ประหลาดน้อยใหญ่มานับครั้งไม่ถ้วน เป็นความภาคภูมิใจในความเก่งกล้าสามารถของเหล่านักรบแห่งฟีเลเซีย แต่มาวันนี้เป็นการยากเหลือเกินที่ทุกคนจะทำใจยอมรับเรื่องนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งองค์กษัตริย์ของพวกเขาเอง
************************
เป็นเวลาโพล้เพล้ ขณะที่ฮารีซันพร้อมกับเหล่าขุนพลจากเผ่าต่าง ๆ กำลังนั่งล้อมวงอยู่รอบกองไฟภายในค่ายทหารของฟูดินัน เป็นเวลาเกือบสองสัปดาห์แล้วที่พวกเขาตั้งค่ายอยู่นอกเมืองเอรีม พวกเขามีโอกาสได้เข้าไปภายในกำแพงเมืองครั้งหนึ่ง ซึ่งก็เพราะเป็นคำเชื้อเชิญของเจ้าหญิงเพื่อเลี้ยงต้อนรับพวกเขา เจ้าหญิงทรงแจ้งว่าเป็นการรับประทานอาหารธรรมดา ๆ เนื่องจากอยู่ในภาวะสงคราม แต่ก็ดูหรูหราและมากไปด้วยพิธีการสำหรับเขาและเหล่าขุนพล หลายครั้งที่ฮารีซันสังเกตเห็นสายตาขบขันหรือไม่ก็สมเพชดูแคลนในความไม่รู้มารยาทบนโต๊ะอาหารและมารยาทต่อเชื้อพระวงศ์ ซึ่งก็ทำให้พวกเขารู้สึกอึดอัดอยู่ไม่น้อย ยิ่งคาร์นและดามิก้าซึ่งถูกจ้องมองมากเป็นพิเศษ นั่นก็เพราะความเป็นสมิงของเขา ในขณะที่ดามิก้าถูกมองเพราะความที่เธอเป็นผู้หญิงแต่กลับมีรอยสักสีแดงตามตัวของเธอ ซึ่งออกจะเป็นเรื่องต้องห้ามสำหรับชาวฟีเลเซียที่จะมีรอยสักบนส่วนใดของร่างกาย จนคาร์นและดามิก้าประกาศทันทีที่กลับมาถึงค่ายพักว่าจะไม่ร่วมโต๊ะกับพวกชนชั้นสูงของฟีเลเซียอีก
ฮารีซันนั่งมองกองไฟที่รุกโชติช่วงพลางหักเศษกิ่งไม้โยนเข้าไปในกองไฟ ท้องฟ้าเริ่มสลัวลงแล้วและอากาศก็เริ่มเย็นตัวลงเรื่อย ๆ เสียงพูดคุยหยอกล้อจากเหล่าขุนพลที่ดังอยู่รอบ ๆ กองไฟเงียบลงเมื่อนายทหารฟีเลเซียชั้นผู้น้อยสองนายเดินเข้ามาใกล้ ฮารีซันลุกขึ้นยืนช้า ๆ รับนายทหารทั้งสอง
“สารจากเจ้าหญิงเรจิน่า” นายทหารคนหนึ่งประกาศพลางหยุดรอให้ทุกคนลุกขึ้นรับสารของเจ้าหญิง แต่เมื่อเห็นว่าทุกคนยังคงนั่งรอฟังอยู่กับที่ จึงได้แต่หันไปมองเพื่อนทหารอีกคนไม่รู้จะเอาอย่างไรดี
“สารว่าอย่างไรล่ะ?” ดามิก้านั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น เอาศอกวางบนเข่าขวาใช้มือเท้าคางรอฟัง ถามอย่างตั้งใจเมื่อเห็นว่าทหารยังคงไม่แจ้งสารเสียที
“เออ....” นายทหารตอบอึกอัก “พวกท่านต้องลุกขึ้นยืนฟังสารของเจ้าหญิงเพื่อเป็นการแสดงความให้เกียรติเจ้าหญิง “