Chapter 35 สายน้ำที่แผ่ขยายและให้ชีวิต
หลังจากที่เจ้าหญิงทรงกลับถึงปราสาทแล้วก็ทรงรีบเปลี่ยนเครื่องแต่งองค์ใหม่อย่างรวดเร็ว ที่แท้แล้วพระองค์ยอมเสด็จกลับปราสาทในทันทีในขณะที่ซิสเตอร์โรซาน่าและคณะดูแลผู้อพยพโดยที่ไม่มีพระองค์ ก็เพราะพระองค์จะทรงรีบเดินทางไปพบคาร์ดินัลมาร์สิลิโอ้นั่นเอง หากพระองค์สามารถโน้มน้าวสภาศาสนาให้เห็นชอบกับพระองค์ได้ สภาพ่อค้าก็จะไม่มีอำนาจต่อรองใด ๆ อีก เนื่องจากแอนดิซองใช้ระบบเสียงข้างมากในการออกกฎหมายข้อบังคับต่าง ๆ เจ้าหญิงอลาน่าทรงมีเวลาเหลือไม่มากนักก่อนจะเข้าประชุมสภาครั้งใหม่ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ดังนั้นพระองค์จะทรงรอช้าอีกไม่ได้แล้ว เจ้าหญิงทรงรับสั่งกับนางกำนัลต้นห้องทันที
“เตรียมรถม้าให้ฉันอย่างเร็วที่สุดจ๊ะ ฉันจะไปพบท่านคาร์ดินัลที่โบสถ์หลวง”
ขณะที่คาร์ดินัลมาร์สิลิโอ้กำลังทำวัตรอยู่ในห้องภาวนาของพระชั้นผู้ใหญ่ ซึ่งเป็นห้องที่แยกออกมาเป็นส่วนตัวอยู่ทางปีกขวาฝั่งตะวันออกของโบสถ์หลวง จู่ ๆ บาทหลวงหนุ่มองค์หนึ่งก็เข้ามารายงาน
“พระคุณเจ้าครับ เจ้าหญิงอลาน่าเสด็จมาขอพบท่านครับ”
มาร์สิลิโอ้ออกจะประหลาดใจอยู่ไม่น้อยที่เจ้าหญิงเสด็จมาพบโดยมิได้แจ้งล่วงหน้าในเวลาพลบค่ำเช่นนี้ ซ้ำตั้งแต่ที่เขาเดินทางมาเมืองท่าเพื่อจำศีลภาวนาและมาดูแลจัดการงานต่าง ๆ ของสภาศาสนาในเมืองนี้จนจวนเจียนจะได้เวลาเดินทางกลับแล้ว เขาได้พบเจ้าหญิงเพียงครั้งเดียวคือเมื่อวันที่เดินทางมาถึงนั่นเอง ดังนั้นนี่คงจะเป็นเรื่องด่วนที่สำคัญมากทีเดียว
“ไปทูลเจ้าหญิงว่าเราจะออกไปพบอีกสักครู่นี้”
ภายในห้องรับรองของโบสถ์หลวงประจำเมืองท่าแห่งแอนดิซอง ซึ่งตกแต่งด้วยรูปปั้นของเหล่าบรรดานักบุญถูกประดับประดาด้วยอัญมณีสูงค่ามากมายอย่างงดงามยิ่ง ซึ่งหากใครได้มาเห็นสักครั้งก็จะต้องหาโอกาสที่จะเข้ามาชมอีกเป็นครั้งที่สอง
กระนั้นก็ดีความงดงามนี้ก็ไม่สามารถดึงดูดจิตใจของเจ้าหญิงแห่งแอนดิซองได้ พระองค์ไม่ได้ทรงมองเห็นรูปปั้นนักบุญที่สวยงามอร่ามตา แต่พระองค์ทรงเห็นคุณงามความดี ความศักดิ์สิทธิ์ และความยากลำบากที่บรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ได้กระทำเมื่อครั้งยังมีชีวิตต่างหาก พระองค์ทรงคุกเข่าลงต่อหน้ารูปนักบุญทั้งหลายก่อนจะทรงหลับเนตรลงอธิษฐานภาวนาวิงวอนเหล่านักบุญทั้งหลายให้ช่วยวิงวอนองค์พระผู้เป็นเจ้าให้ทรงประทานปรีชาญาณแก่พระองค์ เจ้าหญิงทรงสวดภาวนาอยู่นานจนเหมือนอยู่ในภวังค์
แต่แล้วพระองค์ก็รู้สึกว่ามีมือเล็ก ๆ มาแตะตรงไหล่ของพระองค์อย่างแผ่วเบา พระองค์จึงทรงลืมพระเนตรขึ้นเพื่อพบกับความว่างเปล่า เจ้าหญิงขมวดคิ้วลงเล็กน้อยด้วยความประหลาดใจ ใครกันหนอที่สัมผัสพระองค์ แต่พระองค์มั่นใจว่าไม่ใช่สิ่งชั่วร้าย เพราะพระองค์สัมผัสได้ถึงความอ่อนโยน คิดได้เพียงเท่านั้นก็ต้องรีบเก็บความคิดนั้นไว้เพราะทรงเห็นว่าท่านคาร์ดินัลยืนอยู่ที่หน้าประตู ซึ่งคงยืนอยู่ได้สักครู่ใหญ่แล้ว นักบวชสูงวัยเดินเข้ามาใกล้พร้อมกับรอยยิ้มน้อย ๆ ที่มุมปาก พระผู้มากด้วยยศศักดิ์และอำนาจในสภาสูงค่อมศีรษะเล็กน้อย รอยยิ้มพึงพอใจปรากฏอยู่บนใบหน้า
“เจ้าหญิง” มาร์สิลิโอ้เอ่ยทักทาย
“ท่านคาร์ดินัล” เจ้าหญิงทรงย่อตัวลงเล็กน้อยแสดงความเคารพ ซึ่งด้วยยศตำแหน่งของพระองค์ เจ้าหญิงไม่จำเป็นต้องทำความเคารพคาร์ดินัลมาร์สิลิโอ้ก็ย่อมได้ เพราะโดยยศศักดิ์แล้ว ตำแหน่งคาร์ดินัลเทียบเท่ากับเจ้าชายของพระศาสนจักร ศักดิ์ของทั้งสองจึงเท่ากัน แต่เจ้าหญิงก็ทรงปฏิบัติเช่นนี้ทุกครั้งตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ อันเป็นการบ่งบอกถึงความอ่อนน้อมถ่อมตนของพระองค์ ซึ่งคาร์ดินัลมาร์สิลิโอ้ก็ชื่นชมเจ้าหญิงอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว
“พระองค์จะต้องเป็นพระราชินีที่ทรงคุณธรรม และน่ายกย่องมากทีเดียว เพราะพระองค์อ่อนน้อม รักราษฎร และ ยึดมั่นในศาสนาเช่นนี้” คาร์ดินัลเอ่ยตั้งข้อสังเกตแกมชื่นชม
เจ้าหญิงทรงทำได้แค่เพียงยิ้มตอบ พระองค์ยังไม่พร้อมที่จะบอกความปรารถนาสูงสุดของพระองค์ที่อยากจะออกบวชให้คาร์ดินัลทราบ แต่มาร์สิลิโอ้ก็ไม่ได้ติดใจกับคำตอบที่มีเพียงรอยยิ้มของพระองค์เมื่อออกปากเชื้อเชิญ
“เชิญที่เก้าอี้รับรองทางด้านนี้ก่อนเถิด เราจะได้คุยกันได้สะดวก” มาร์สิลิโอ้ผายมือออกไปยังชุดเก้าอี้บุบกำมะหยี่สีน้ำเงินสดที่ดูหนานุ่มน่าสบาย เมื่อทั้งสองนั่งลงเรียบร้อยแล้ว มาร์สิลิโอ้จึงกล่าวขึ้น
“พระองค์มีเรื่องด่วนสำคัญอะไรอย่างนั้นหรือ?”
“ฉันกำลังจะนำเรื่องหนึ่งเข้าที่ประชุมสภาในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ค่ะ และฉันอยากจะได้การสนับสนุนจากท่านคาร์ดินัล” เจ้าหญิงทรงเริ่มเข้าเรื่องทันที
“เรื่องที่สภาพ่อค้าจะต้องคัดค้านอย่างที่สุดสินะ ท่านถึงต้องมาคุยกับเราเป็นการส่วนตัวก่อน” นักบวชอาวุโสกล่าวอย่างรู้ทัน “เรื่องที่สภาพ่อค้าไม่ชอบ ถ้าไม่นับเรื่องการเสียผลประโยชน์ด้านการค้าก็ยังมีอีกสารพัดเรื่องเลยทีเดียว เป็นเรื่องอะไรล่ะ?”
“เรื่องผู้อพยพที่ท่าเรือค่ะ”