Chapter 34 การสังหารโหด ณ ทะเลน้ำแข็ง
เมืองท่าแอนดิซองขณะนี้ล่วงเข้าเดือนปีเตอร์(Peter) อันเป็นเดือนที่มีอากาศหนาวจัดที่สุดในรอบปี เจ้าหญิงอลาน่าซึ่งเวลานี้ได้มอบหมายให้ราชองครักษ์อองเดรดูแลงานราชการเกือบทุกอย่าง ทั้งการออกว่าราชการ การร่วมงานเลี้ยงรับรองต่าง ๆ รวมไปถึงการดูแลระบบระเบียบต่าง ๆ ภายในเมืองท่า แต่ถึงแม้ว่าอองเดรจะแบ่งเบางานราชการไปเกือบหมด แต่เจ้าหญิงกลับทรงออกทำงานช่วยเหลือพวกคนยากคนจนหนักขึ้นเป็นสามเท่า ทุก ๆ วันพระองค์จะทรงออกจากปราสาทก่อนดวงอาทิตย์ฉายแสงและกลับถึงปราสาทหลังจากดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า พระองค์ทรงโหมงานมากขึ้นจนพระวรกายของพระองค์บางครั้งดูอ่อนล้า แต่ครั้นวันรุ่งขึ้นพระองค์ก็ทรงกลับกระปรี้กระเปร่า สดใส และ เปี่ยมด้วยความสุขอีกครั้ง
ด้วยเพราะความทุ่มเทช่วยเหลือประชาชนอย่างไม่หยุดหย่อนของพระองค์ ทำให้ความนิยมชมชอบในตัวเจ้าหญิงอลาน่าในหมู่ประชาชนพุ่งขึ้นสูงจนเรียกได้ว่าไม่เคยมีราชวงศ์องค์ใดในประวัติศาสตร์แอนดิซองจะได้รับเทียบเทียมเท่าพระองค์ กระนั้นความเกลียดชังพระองค์ในกลุ่มผู้เสียประโยชน์ก็พุ่งขึ้นจนน่าตกใจเช่นกัน
บ่ายวันหนึ่งขณะที่เจ้าหญิงอลาน่าในชุดนักบวชพร้อมกับซิสเตอร์โรซาน่าและคณะกำลังแจกผ้าห่มและเสื้อกันหนาวให้กับผู้ยากไร้ในเต็นท์บริจาคห่างจากท่าเรือพอสมควร ทั้งนี้ก็เพื่อหลบลมหนาวที่พัดมาจากทะเลในช่วงเวลานี้นั่นเอง พระองค์ทรงสังเกตเห็นว่าบรรดาผู้ยากไร้ที่อพยพมาจากดินแดนอื่นซึ่งบัดนี้กำลังมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ อย่างน่าเป็นห่วง หลายคนมีบาดแผลตามร่างกายมากมาย บางคนถึงขั้นพิการแขนขาขาดก็มี แต่จะว่าบาดเจ็บจากสงครามก็ไม่น่าใช่เพราะบาดแผลดูสดใหม่เกินไปเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นได้ไม่นาน อีกทั้งจำนวนผู้บาดเจ็บที่มาให้เหล่าคณะซิสเตอร์รักษาก็มากขึ้นด้วยเช่นกัน และก็ล้วนแต่เป็นผู้ลี้ภัยจากสงครามทั้งสิ้น ครั้นเมื่อถามถึงสาเหตุจากคนเหล่านั้นก็ไม่มีใครยอมตอบ คล้ายกับว่าพวกเขากลัวอะไรบางอย่าง บ้างก็มีท่าทีหวาดระแวงเหมือนไม่ไว้วางใจคนแปลกหน้า ถึงแม้ว่าคนแปลกหน้านี้จะเป็นเหล่าซิสเตอร์ที่กำลังช่วยเหลือพวกเขาอยู่ก็ตามที แม้แต่บรรดาคนจรจัดชาวแอนดิซองเองซึ่งดูเหมือนจะรู้อะไรบางอย่างก็เอาแต่เงียบงำก้มหน้าไม่ยอมสบตาเวลาที่พระองค์ตรัสถาม
เจ้าหญิงทรงแจกผ้าห่มไปก็คิดหาสาเหตุแห่งความหวาดระแวงและปฏิกิริยาแปลก ๆ นี้ไปด้วยและตั้งใจว่าวันนี้พระองค์จะต้องรู้ให้ได้ว่าทุกคนกำลังปิดบังอะไรกันอยู่ เจ้าหญิงทรงคิดได้ดังนั้นก็พลันได้ยินเสียงเอะอะดังไล่มาจากทางท่าเรือ
“ซิสเตอร์คะ ซิสเตอร์! ช่วยด้วยคะ!” เสียงผู้หญิงคนหนึ่งร้องขึ้นอย่างร้อนรน ทำให้แถวของผู้ที่มารับบริจาคแหวกออกเป็นวงกว้างอย่างชุลมุนเพื่อหลีกทางให้ผู้ที่กำลังวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว แถวที่แหวกออกเป็นวงกว้างกีดขวางพวกทหารยามที่อยู่บริเวณนั้นจนไม่สามารถแทรกเข้ามาได้ กระนั้นแถวคนที่มารับบริจาคที่เบียดเสียดกันอยู่ทางด้านหน้าก็ทำให้การเข้าไปถึงภายในเต็นท์ยากลำบากเหลือเกิน
เจ้าหญิงทรงยืดองค์เขย่งปลายเท้าขึ้นเพื่อมองหาตัวเจ้าของเสียงและก็ได้เห็นหญิงชาวฟีเลเซียคนหนึ่งซึ่งลี้ภัยมากับเรืออพยพลำแรก ๆ กำลังพยายามเบียดคนเข้ามา พระองค์ทรงจำนางได้เพราะนางมาช่วยพวกซิสเตอร์แจกอาหารในบางครั้ง นางนำชายร่างใหญ่ผิวเข้มที่ตัวเปียกโชกและเต็มไปด้วยบาดแผลฉกรรจ์หลายที่มีเลือดไหลออกมาจากบาดแผลไม่หยุด ดวงตาบวมเป่งจนหนังตาปิดไปข้างหนึ่ง เขาใส่เสื้อผ้าแบบชาวฟูดินันซึ่งทั้งบางและไม่มีแขนเสื้อไว้ป้องกันความหนาว หน้าตาของเขาซีดเผือด ดวงตาตื่นตระหนกเบิกกว้างเต็มไปด้วยความหวาดกลัวชนิดจับจิตเลยทีเดียว เขาอุ้มห่อผ้าสีมอมซอขนาดไม่ใหญ่นักมาด้วย เจ้าหญิงอลาน่าและบรรดาซิสเตอร์จึงรีบเตรียมที่ทางเพื่อที่จะรักษาชาวฟูดินันคนนั้น แต่สิ่งที่พระองค์ได้ยินนั้นกลับทำให้พระองค์ใจหายวาบจนมือไม้เย็นเฉียบไปหมด
“เด็กไม่หายใจแล้วค่ะซิสเตอร์!” หญิงนางนั้นตะโกนขึ้นพร้อม ๆ กับที่ชายร่างใหญ่เบียดดันกลุ่มคนที่อยู่หน้าโต๊ะบริจาคอย่างร้อนรนโดยไม่สนใจว่าใครจะหกล้มหน้าคว่ำลงไปบ้าง
“โอ พระเจ้า” เจ้าหญิงทรงรีบรับห่อผ้านั้นมาอย่างรวดเร็ว เด็กหญิงชาวฟูดินันวัยสี่ขวบเนื้อตัวเย็นจัดและเปียกปอน ใบหน้าซีดขาวแทบไม่มีสีเลือด ริมฝีปากเริ่มเขียวคล้ำแล้ว ซิสเตอร์โรซาน่ารีบจับชีพจรที่คอของเด็กน้อย
“ยังทัน เร็วเข้า! เอาผ้าห่มกับเตาผิงมา” ซิสเตอร์โรซาน่ารีบตะโกนบอกซิสเตอร์คนอื่น ๆ ทันที