Chapter 16 มุ่งสู่แสงสว่าง
ราชองครักษ์อองเดรที่กำลังเดินตรงเข้ามาตามโถงทางเดินด้วยใบหน้าแข็งกร้าว ทำให้ใครๆก็พากันตัวสั่นงันงน พยายามมากที่สุดที่จะไม่เฉียดกรายผ่านไปทางนั้น เป็นที่รู้กันดีว่าหลังจากวันที่เจ้าหญิงทรงหมดสติไป ราชองครัก์อองเดรก็แทบจะเหมือนระเบิดที่พร้อมจะทำลายล้างอะไรก็ตามที่แลดูขัดหูขัดตา
“นี่มันอะไรกัน พระองค์ทรงเป็นอะไรกันแน่ ทรงไม่ได้สติมาห้าวันแล้วนะ!” เสียงแข็งเกรี้ยวกราดผิดวิสัยของราชองครักษ์ดังขึ้นพร้อมๆกับการจ้องมองใส่อีกฝ่ายอย่างแข็งกร้าว ทันทีที่ได้พบกันโดยบังเอิญตรงโถงทางเดิน
“ฉันจะตอบถ้าท่านจะลดเสียงและสงบอารมณ์ลงกว่านี้” ซิสเตอร์โรซาน่าพยายามนิ่งสงบให้มากที่สุด แม้จะตกใจกับท่าทีที่ดุดันของอีกฝ่าย
“อย่ามาเล่นลิ้นกับข้า ตอบมาเดี๋ยวนี้ ทำไมฝ่าบาทยังไม่ฟื้น ต้องใช้โอสถใด ต้องใช้พลังนักบวชอีกกี่คน” แม้จะยังอารมณ์พลุ่งพล่านแต่น้ำเสียงกลับเย็นยะเยือกต่างจากเมื่อสักครู่อย่างสิ้นเชิง
ซิสเตอร์โรซาน่าเอนตัวชะโงกมองผ่านไปทางที่ราชองครักษ์เพิ่งเดินจากมา ตลอดหลายวันมานี้เขาเอาแต่มายืนเฝ้าอยู่หน้าประตูห้องบรรทมของเจ้าหญิง ทันทีที่เสร็จจากภารกิจปราบปรามกลุ่มผู้ชุมนุนประท้วง ซึ่งก็แน่นอนว่าเขาเองแทบจะไม่ได้พักผ่อนเลย ขอบตาจึงดูดำคล้ำและอิดโรยมากและนั่นก็ยิ่งทำให้เขาอารมณ์ฉุนเฉียวได้ง่ายขึ้นด้วย
“พระองค์ไม่ได้ต้องการโอสถหรือการรักษาใดๆ เพียงแต่ดวงพระทัยของพระองค์บอบช้ำมาก พระองค์ทรงเก็บความทุกข์และความเครียดไว้ในพระทัยมานาน จนตอนนี้คงจะเลยจุดที่ดวงพระทัยทรงรับไว้หรือจะเรียกว่าทรงตรอมพระทัยจนประชวรก็ว่าได้”
อองเดรกัดฟันกรอด หายใจแรงด้วยความหงุดหงิด เขาโกรธตัวเองที่ไม่รู้จะทำอย่างไรให้เจ้าหญิงฟื้น โกรธพวกขุนนางและพวกสมาชิกสภาที่รวมหัวกันกดดันพระองค์ โกรธที่พวกประชาชนไร้สำนึกก่อความวุ้นวายจนเจ้าหญิงต้องทุกข์ใจจนประชวร โกรธพวกคนยากจนที่ทำให้พระองค์ทรงต้องเหน็ดเหนื่อยมานานหลายปีและโกรธซิสเตอร์ที่อยู่ตรงหน้า ที่ชักนำให้เจ้าหญิงต้องทำงานหนักแล้วยังทำหน้าเหมือนเข้าอกเข้าใจเขาเสียเต็มประดา
“ฉันรู้ว่าท่านเป็นห่วงเจ้าหญิงมาก ให้เวลาพระองค์สักหน่อยเถิด พระองค์จะทรงฟื้นเอง เมื่อพระองค์พร้อม”
“แล้วมันเมื่อไหร่เล่า อีก 1ชั่วโมง อีก 1วัน หรืออีก 1ปี !? ” อองเดรกระแทกเสียงจนซิสเตอร์โรซาน่าอดสะดุ้งไม่ได้
“ฉันเองก็ตอบไม่ได้ แต่ฉันก็ร้อนใจไม่แพ้ท่านหรอก ฉันจะพยายามทุกวิถีทางที่จะทำให้พระองค์ทรงฟื้นและกลับมาแข็งแรงดังเดิม”
ทันใดนั้นนายทหารนายหนึ่งก็ก้าวเข้ามา
“ท่านราชองครักษ์” เขาทำความเคารพโดยไม่เอ่ยใดๆอีก แต่อองเดรก็รู้ได้ว่ามีภารกิจด่วน อองเดรหรี่ตามองซิสเตอร์โรซาน่าอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินจากไปโดยมีนายทหารตามไปด้วย ทิ้งให้ซิสเตอร์โรซาน่ายืนอยู่ลำพังตรงโถงทางเดิน ซิสเตอร์โรซาน่ามองตามหลัง นายทหารใหญ่พลางส่ายหน้าช้าๆ ด้วยความหนักใจ ในวันที่เจ้าหญิงทรงหมดสติไป ราชองครักษ์ก็ออกปราบปรามผู้ชุมนุมอย่างรุนแรงทันทีเพราะเพียงแค่บานประตูปราสาทเปิดออกและบรรดาผู้ชุมนุมประท้วงตั้งท่าจะกรุกันเข้ามา แต่แค่เพียงเห็นว่าผู้ยืนขวางประตูคือราชองครักษ์อองเดรที่จ้องมองด้วยดวงตาแข็งกร้าวพร้อมกับไอเย็นยะเยือกที่แผ่ออกมาจากดาบน้ำแข็งก็ทำให้บรรดาผู้ชุมนุมต้องรีบถอยกรูดอย่างรวดเร็ว แต่พวกที่อยู่ด้านหลังมองไม่เห็นว่าข้างหน้ามีอะไรหรือใครขวางอยู่จึงต่างเฮโลกันเข้ามา เพียงแค่ราชองครักษ์ตวัดดาบเพียงครั้งเดียว แท่งน้ำแข็งก็พุ่งแหวกผ่านผืนดินเป็นทาง สังหารผู้คนที่อยู่ในรัศมีตายไปเกือบร้อยในคราเดียว ทันทีที่ลงดาบแรก ความโกลาหลก็เกิดขึ้นทันที ทุกคนต่างหวีดร้องวิ่งหนีเอาตัวรอดกันจ้าละหวั่น แต่เพราะความแออัดยัดเยียดและสับสนอลหม่านจะมีสักกี่คนที่สามารถหนีรอดคมดาบของราชองครักษ์ผู้เป็นจอมทัพแห่งแอนดิซองได้ ในวันนั้นราชองครักษ์ออกงเดรสังหารผู้ชุมนุมประท้วงไปหลายร้อยคน ถนนหน้าปราสาทแทบจะถูกย้อมเป็นสีแดงด้วยเลือดมนุษย์
ราชองครักษ์ออกเดรในวันนั้นที่ซิสเตอร์โรซาน่าได้เห็น พาลทำให้รู้สึกขนพองสยองเกล้าทุกครั้งที่นึกถึง ไม่ใช่เพียงเพราะว่าการสังหารอย่างโหดเหี้ ยมหรือคราบเลือดที่ชโลมชุดเกราะและแทบจะเปลี่ยนผมสีซีดของเขาให้กลายเป็นสีแดง แต่เพราะใบหน้าที่นิ่งเฉยไร้สีหน้าและอารมณ์ของราชองครักษ์อองเดรต่างหาก มันทำให้อดคิดไม่ได้ว่าเขาพร้อมจะฆ่าใครก็ได้เพื่อเจ้าหญิงโดยที่ไม่รู้สึกอะไรเลยเหมือนแค่ฟันกิ่งไม้ใบหญ้าที่ไม่มีชีวิต และที่ผ่านๆมาทั้งบรรดาขุนนางหรือสมาชิกสภาที่โจมตีเจ้าหญิงอลาน่าพวกเขารอดชีวิตอยู่ได้เพราะมีเจ้าหญิงคอยปรามราชองครักษ์มาตลอด แต่ก่อนซิสเตอร์ยังเชื่อว่าราชองครักษ์อาจแค่ข่มขู่หรือแค่สั่งสอนให้บาดเจ็บ ทว่าเดี๋ยวนี้ซิสเตอร์แน่ใจแล้ว่าเขาพร้อมจะลงมืออย่างไม่สะทกสะท้านโดยไม่สนว่าจะเป็นใครหรือมีจำนวนเท่าไหร่ ซิสเตอร์โรซาน่าถอนหายใจเฮือกใหญ่พลางมองทางเดินที่บัดนี้ว่างเปล่าด้วยใบหน้าหม่นหมองลง
“ท่านก็เป็นเหตุแห่งความหนักใจของเจ้าหญิงเช่นกันนะ ท่านอองเดร”
เจ้าหญิงทรงอ่อนเพลียเกินกว่าจะลืมพระเนตรขึ้นไหว แต่จริงๆแล้วพระองค์ก็ทรงรู้สึกดีเหมือนกันที่ไม่ต้องตื่นขึ้นมาอีก ว่าอีกใจก็เตือนขึ้นมาว่าพระองค์ยังมีอะไรต้องทำอีก แต่แล้วความคิดที่ไม่อยากรับรู้อะไรอีกของพระองค์ก็เป็นฝ่ายชนะอีกครั้ง จิตใต้สำนึกของพระองค์จมดิ่งลงไปเรื่อยๆ เหมือนนาวาใหญ่ที่อัปปางลงสู่ห้วงทะเลลึก ไม่มีแสง ไม่มีเสียง ไม่มีใคร จนเมื่อเริ่มมีเสียงอะไรบางอย่างที่ฟังไม่ได้ศัพท์ เหมือนเสียงพึมพำอะไรบางอย่างดังแว่วมาจากที่ไกลๆ เจ้าหญิงทรงพยายามไม่สนพระทัย แต่เสียงนั้นยังคงดังขึ้นเป็นระยะๆ จนอดไม่ได้ที่จะเงี่ยพระกรรณฟัง
“เจ้าหญิง....อลาน่า” เสียงแผ่วๆ ดังขึ้นเบาๆ เหมือนเสียงของเด็กกำลังเรียกหาพระองค์ เป็นเสียงที่ฟังคุ้นหู เหมือนพระองค์เคยได้ยินมาก่อน “เจ้าหญิง...เจ้าหญิง”