Chapter 28 มายาแห่งฝันต้องสาป
เวลาผ่านไปเกือบเดือน จนล่วงเข้าเดือนธัดเดอัส(Thaddeus) อากาศเริ่มหนาวเย็นลงแล้ว กองทัพซาโลมแม้จะมีจำนวนทหารมากกว่ากองทัพฟีเลเซียแต่ก็เพราะความหวั่นเกรงการอัญเชิญอัศวินสวรรค์ของทางฝ่ายฟีเลเซีย จึงทำให้ฝ่ายซาโลมไม่กล้าที่จะจู่โจมอาณาจักรแห่งสายลมมากนัก ข้างฝ่ายฟีเลเซียเองแม้มีจำนวนทหารน้อยกว่าแต่ก็เพราะชั้นเชิงในทางการรบที่ไม่เป็นรองใคร ทั้งยังขวัญและกำลังใจมากมายที่ได้จากเมื่อคราวที่บิชอปเกรเกอรี่อัญเชิญอัศวินสวรรค์มาทำลายล้างกองทัพเรือนแสนของซาโลมจนสิ้นซากในพริบตา ทำให้ยังสามารถปกป้องเมืองได้อย่างมั่นคง กระนั้นทั้งสองฝ่ายต่างก็ไม่มีใครทราบเลยว่าแท้จริงแล้วบิชอปเกรเกอรี่มิได้มีความสามารถในการอัญเชิญอัศวินสวรรค์อย่างที่เข้าใจกันแต่อย่างใด ทว่าเป็นเพราะเมตตาจากสวรรค์ต่างหาก
ขณะที่กองทัพซาโลมเองเมื่อเสียกองทัพกว่าแสนนายไปกับการรบที่เมืองวอลเนีย แต่จากการรบที่ทุ่งคีราก็ทำให้มีวัตถุดิบมากพอที่จะสร้างกองทัพผีนรกขึ้นมาได้ใหม่ เวลานี้จำนวนกองทัพผีนรกในกองทัพเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อย ๆ อย่างต่อเนื่อง ภายในเวลาไม่นานกองทัพผีนรกของซาโลมก็มีจำนวนมากพอและพร้อมที่จะบุกโจมตีกองทัพฟีเลเซียอีกครั้ง
เย็นนั้นขณะที่กษัตริย์ซาดินทรงกำลังตรวจดูภายในค่ายที่สร้างขึ้นเพื่อผลิตกองทัพผีนรกโดยมีเบลซ เซจ และ แบล็ค ไวเซอร์ พาทอดพระเนตรพร้อมกับคอยถวายคำอธิบายต่าง ๆ ให้ แม้พระองค์จะชินกับรูปร่างหน้าตาที่น่าขยะแขยงและน่าสะพรึงกลัวของเหล่าทหารผีนรกบ้างแล้ว แต่การดำเนินอยู่ท่ามกลางกองทัพซากศพที่น่าสยดสยองนับพันนับหมื่นเช่นนี้ก็ทำให้อดที่จะทรงรู้สึกขนลุกและเย็นสันหลังวาบไม่ได้ ทั้งยังกลิ่นสาปฉุนของซากศพที่เริ่มเน่าก็รุนแรงจนแสบจมูกเหมือนจะทำลายประสาทรับรู้กลิ่นของใครก็ตามที่อาจหาญย่างกรายเข้ามาในสถานที่แห่งนี้
“ข้ายังชั่งใจอยู่ว่าจะใช้กองทัพนี้โจมตีกองทัพฝ่ายใดของฟีเลเซียดี?” กษัตริย์ซาดินทรงครุ่นคิด สายพระเนตรเหลือบมองดูผีนรกตัวหนึ่งที่ใบหน้าเน่าเฟะ เนื้อบางส่วนเปื่อยจนยุ่ยและมีกลิ่นสาปฉุนรุนแรง หัวทั้งสามของมันหันมาทางซาดินและกำลังจ้องมองพระองค์ด้วยสายตาที่ว่างเปล่าไร้แววทั้งสามคู่ ทำให้พระองค์ต้องทรงเบ้พระโอษฐ์ด้วยความขยะแขยง “แต่ข้าก็ยังรู้สึกติดค้างบางอย่างอยู่ในใจ ข้าสงสัยว่าเมืองวอลเนียมันมีดีอะไร? ทำไมพวกฟีเลเซียถึงทุ่มกำลังปกป้องเสียหนักหนา? หรือมันมีสมบัติมหาศาลซ่อนอยู่ในเมืองนี้”
“มิใช่เช่นนั้นหรอกฝ่าบาท” แบล็ค ไวเซอร์ กล่าวด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “ที่พวกมันกำลังปกป้องอยู่คือวิหารฟรานเชสก้าที่อยู่กลางเมืองวอลเนียต่างหากพ่ะย่ะค่ะ”
“ถ้าในนั้นไม่มีสมบัติ งั้นก็คงมีของวิเศษเก็บซ่อนไว้อย่างนั้นสินะ?” กษัตริย์ซาดินตรัสถามแสดงอาการสนอกสนใจอย่างเห็นได้ชัด
“หามิได้พ่ะย่ะค่ะ” จอมเวทย์ดำปฏิเสธอีก
“ถ้าอย่างนั้นมันมีอะไรอยู่ในนั้นกันแน่?” กษัตริย์ซาดินทรงชักจะหงุดหงิดเพราะความอยากรู้
“ภายในนั้นไม่มีอะไรเลย นอกจากรูปปั้นนางฟ้าองค์หนึ่ง และพวกข้าวของเครื่องใช้ในการประกอบพิธีทางศาสนาเท่านั้น”
“โกหก! หากมีแค่นั้นอย่างที่เจ้าว่า...พวกมันจะทุ่มกำลังปกป้องถึงเพียงนี้หรือ? เจ้าคิดจะเก็บสมบัตินั้นไว้คนเดียวละสิ?” กษัตริย์ซาดินตรัส อารมณ์เริ่มครุกรุ่น
ดวงตาของ แบล็ค ไวเซอร์ ฉายแววโกรธเคืองขึ้นแวบหนึ่ง ในขณะที่เจ้านกปีศาจก็หรี่ตาทั้งสี่จับจ้องกษัตริย์ซาดินด้วยเช่นกัน จอมเวทย์ดำประกาศด้วยเสียงแหบต่ำ “หากข้าพระองค์หวังในสมบัติ เมื่อครั้งที่พระองค์ติดอยู่ในถ้ำวงกตข้าพระองค์คงไม่ช่วยเหลือพระองค์แล้ว ปล่อยให้ตายอยู่ในนั้นแล้วชิงสมบัติมาไม่ง่ายกว่ารึ? แต่สิ่งเดียวที่ข้าพระองค์ต้องการคือทำลายเกรเกอรี่ และฟีเลเซียให้พินาศย่อยยับ”
“ถ้าเช่นนั้นเจ้าจะอธิบายเรื่องนี้ว่าอย่างไร?” กษัตริย์ซาดินตรัสต่อ ยังทรงแคลงใจอยู่ลึก ๆ
“ที่พวกมันทุ่มเทกำลังปกป้องวิหารแห่งนี้ก็เพราะวิหารแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแด่นางฟ้าฟรานเชสก้า อารักขเทวดาของอาณาจักรนี้ ดังนั้นวิหารแห่งนี้จึงเป็นเหมือนวิหารเก่าแก่คู่บ้านคู่เมือง หากวิหารถูกทำลายก็เหมือนกับว่าทั้งอาณาจักรถูกหยามเกียรติและศักดิ์ศรีที่อุตส่าห์สร้างสมมาช้านาน”
“แค่นั้นนะรึ!?!” กษัตรย์ซาดินทรงแทบจะระเบิดเสียงออกมาอย่างเกรี้ยวกราด “ข้าเสียทหารไปเป็นแสนเพียงเพราะไอ้ศักดิ์ศรีโง่ ๆ ของพวกมันอย่างนั้นรึ?” ตัวของพระองค์สั่นเทิ้ม “ดีละ...ถ้าอย่างนั้นข้าก็ทำลายศักดิ์ศรีโง่ ๆ ของมันให้สิ้นซากไปเลย ทันทีที่เจ้าจัดการเจ้าบิชอปนั่น ข้าจะทำลายเมืองทั้งเมืองนั่นให้ราบ ชนิดที่พวกมันจะไม่กล้าย่างกรายเข้ามาในเมืองนี้ตลอดกาล” กษัตริย์ซาดินทรงประกาศกร้าวอย่างโกรธเกรี้ยวโดยที่แบล๊ค ไวเซอร์น้อมรับคำอย่างยินดี พร้อม ๆ กับมโนภาพที่ค่อย ๆ ปรากฏเด่นชัดในหัวของเขา