Chapter 16 นักประดิษฐ์กับหุ่นกระป๋อง
หลังจากเคลื่อนทัพสู่ฟีเลเซียได้เพียงสามสัปดาห์ ราชินีแห่งซาโลมก็บุกเข้าโจมตีเมืองหน้าด่านของฟีเลเซียทันที ในเวลาเพียงสองชั่วยามราชินีเนริมอร์พร้อมทัพมังกรไฟสามร้อยตัว ก็ทำลายเมืองหน้าด่านของฟีเลเซียจนย่อยยับไปถึงสามเมือง เมืองหน้าด่านที่มีทิวทัศน์ที่สวยงามแวดล้อมไปด้วยทิวเขาเขียวชอุ่ม และ ดอกไม้นานาพันธุ์ทั้งบ้านเรือนที่ปลูกกระจายตัวอยู่ทั่วไปล้วนแล้วแต่ถูกสร้างอย่างงดงามเพราะเป็นเมืองที่ขุนนางทั้งหลายชอบมาปลูกบ้านไว้พักผ่อนเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ ทว่าเวลานี้เหลือเพียงซากปรักหักพังที่ดำเป็นตอตะโกและควันไฟกระจายไปทั่ว ความหายนะแผ่ปกคลุมไปทั่วทุกที่ ไม่มีชาวเมืองคนใดหนีรอดจากการโจมตีในครั้งนี้แม้เพียงสักคนเดียว ไม่มีแม้กระทั่งสิ่งมีชีวิตใด ๆ เหลืออยู่ในเมือง
“ฮา!ฮา!ฮา! ดีมาก เจ้าทำได้ดีมากเนริมอร์” กษัตริย์ซาดินทรงตบเข่าหัวเราะชอบใจหลังจากฟังรายงานผลการรบของมเหสี
“ข้าเห็นว่ามันเป็นเพียงแค่เมืองชนบทไม่มีอะไรมากมายนัก ข้าจึงตีเพิ่มให้ท่านอีกสองเมืองหวังว่าท่านคงจะพอใจ” ราชินีเนริมอร์ตรัสเสียงเรียบทว่าแววตานั้นฉายแววแห่งความภาคภูมิใจไว้เต็มเปี่ยม
“ข้าพอใจมากเนริมอร์” กษัตริย์ซาดินตรัสสำทับอีกครั้ง
“ถ้าเช่นนั้น...ข้าอยากจะขออะไรท่านสักอย่าง ท่านเคยเอ่ยปากให้ข้าแล้วแต่ข้ายังไม่ได้รับ” ราชินีเนริมอร์ตรัสด้วยพระพักตร์ยิ้มแย้ม
“ได้สิ เจ้าอยากได้อะไรก็ว่ามาเลย” กษัตริย์ซาดินตรัสตอบรับอย่างอารมณ์ดี
“ข้าอยากจะกลับซาโลมตามสัญญาที่เราเคยตกลงกันไว้ ท่านคงยังจำได้” ราชินีเนริมอร์ทรงเตือนความจำของสามี
กษัตริย์ซาดินทรงขมวดคิ้วลงแทบจะทันที พระองค์เกลียดความปากไวของพระองค์นัก อีกทั้งพระองค์ก็มิใคร่อยากจะให้พระนางทิ้งกองทัพไปสักเท่าไรเพราะแค่มีพระนางอยู่ก็เหมือนมีกองทัพอีกหนึ่งกองเลยทีเดียว แต่ผลงานของพระนางในครั้งนี้ก็สมควรที่จะได้รับบำเหน็จรางวัล
“ก็ได้ แต่อย่าลืมสัญญาของเจ้าล่ะ สามเดือนเท่านั้น” กษัตริย์ซาดินทรงกำชับเหมือนเกรงว่ามเหสีของพระองค์จะแสร้งลืมกำหนดเวลาและอาจกลับมาช่วยรบช้ากว่ากำหนด
“ข้าไม่ลืมแน่นอน” ราชินีเนริมอร์ตรัสด้วยความโลดเต้นยินดี “ถ้าเช่นนั้นข้าขอลาท่านเลย” ราชินีเนริมอร์ทรงโค้งคำนับแล้วหมุนองค์กลับเสด็จออกไปทันที พระนางแทบจะทนรอพบหน้าโอรสไม่ไหว
“เจ้าจะไปเดี๋ยวนี้เลยรึ?” กษัตริย์ซาดินทรงตกพระทัยกับความเร่งรีบของมเหสี
“ยิ่งไปเร็วเท่าไหร่ ข้าก็ยิ่งกลับมาเร็วขึ้นเท่านั้นมิใช่หรือ?” ราชินีเนริมอร์ตรัสด้วยสีพระพักตร์ยิ้มแย้ม และเสด็จไปอย่างรวดเร็ว
**********************************
ท่ามกลางหมู่แมกไม้และธรรมชาติอันร่มรื่น ต้นไม้หลากหลายพันธุ์ทั่วทั้งผืนป่าเพิ่งจะแทงยอดสีเขียวอ่อนจนทั้งบริเวณนั้นแลดูสดใสด้วยสีเขียวอ่อนของใบไม้เล็ก ๆ มากมาย มวลดอกไม้นับร้อยนับพันก็เริ่มแย้มกลีบดอกหลากสี เหล่าแมลงตัวน้อยไม่ว่าจะเป็น สกาลีโอ(Sgaleo), เกล แกรบ(Gale Grub) และ สกาไลท์ (Scalight) ต่างก็บินหยอกล้อสายลมและมวลไม้ดอกอย่างปรีดิ์เปรม แม้ว่าสภาพป่าโดยรอบยังคงปรากฏให้เห็นร่องรอยอันโหดร้ายของไฟป่าครั้งใหญ่อยู่ทั่วไป แต่สัญลักษณ์ของชีวิตใหม่เหล่านี้ก็ช่วยบรรเทาจิตใจชาวฟูดินันและชาวป่าเผ่าต่าง ๆ ได้มากทีเดียว
เผ่าฟูดินันนั้นแม้ไม่ได้ถูกโจมตีหนักเท่าเผ่าอื่น ๆ แต่ความรุนแรงที่เกิดขึ้นก็ยังความเสียหายให้แก่บ้านเรือนและทรัพย์สินของชาวบ้านไปถึงเจ็ดในสิบส่วน ทว่าอุปนิสัยที่มีมิตรจิตมิตรใจของชาวฟูดินันก็ทำให้การบูรณะเผ่าดำเนินไปได้อย่างราบรื่นและรวดเร็ว
เมื่อตะวันเริ่มคล้อยลงต่ำ บ้านหลังสุดท้ายที่เกิดจากการร่วมแรงร่วมใจกันของชาวฟูดินันก็ได้รับการบูรณะจนสำเร็จ เสียงไชโยโห่ร้องด้วยความดีใจดังสะท้อนก้องป่า
ฮารีซันเดินออกมายืนอยู่ต่อหน้าทุกคนในเผ่าโดยมีวานาอันยืนประคองวูจินอยู่ข้างหลัง
“ข้าขอขอบคุณในความมีน้ำใจและความสามัคคีของชาวฟูดินันทุก ๆ คนที่ทำให้การบูรณะเผ่าของพวกเราดำเนินไปได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้”
หัวหน้าเผ่าหนุ่มกล่าวขึ้นท่ามกลางเสียงปรบมือแสดงความยินดีของบรรดาชาวเผ่า “ในที่สุดเหตุการณ์เลวร้ายต่าง ๆ ก็ผ่านพ้นไปแล้ว แม้ว่ามันได้สร้างบาดแผลในใจให้แก่พวกเราทุกคน แต่มันก็ทำให้เราแข็งแกร่งและเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันมากขึ้น และจากเหตุการณ์นี้ก็แสดงให้เราเห็นถึงความกล้าหาญของเด็กสาววัยเพียงสิบสามปีชาวฟูดินันคนหนึ่งที่มีส่วนช่วยให้วิกฤตการณ์ครั้งนี้ผ่านไปด้วยดี ซึ่งควรที่พวกเราชาวฟูดินันจะดูไว้เป็นแบบอย่าง”