เมื่อพระเจ้าผู้สูงสุดได้สร้างดวงดาวในจักรวาล พระองค์ทรงให้จิตแก่ดวงดาว ดวงดาวแม้จะมีเจตน์จำนงในการเดินตามวิถีที่พระผู้เป็นเจ้าทรงกำหนดไว้อย่างเคร่งครัด แต่ก็มีเจตน์จำนงเสรีของตนเอง
ดวงดาวถูกแบ่งเป็น3แบบใหญ่ๆคือ
1.ดาวหลัก คือดาวที่ได้รับพลังงานเก็บกักไว้ในตนเอง ส่องสว่างโดยเผาไหม้ตนเอง
2.ดวงดาวบริวาร ที่ส่องสว่างจากแสงที่สะท้อนมาจากดาวหลักต่างๆ
3.ดาวมารดา คือดาวที่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่
จิตแห่งดาว แม้มีวิถีทางเดินที่น่าเบื่อซ้ำซาก แต่พวกเขาสนุกสนานและเพลิดเพลินกับการมองไปยังดาวมารดา เพื่อพิศดูสิ่งมีชีวิตในดาวนั้น และดาวมารดาที่มีสิ่งมีชีวิตที่มีความคิดและสติปัญญาสูง ก็ดูจะน่าสนใจเป็นพิเศษ ทว่าดาวบางดวง มีความอ่อนไหวทางความรู้สึกมาก และมีอารมณ์ร่วมกับสิ่งต่างๆมาก จึงส่งพลังจิตอันสร้างอิทธิพลและส่งผลกระทบต่อสิ่งที่ตนโคจรผ่านและเฝ้าดู แต่ดาวบางดวงก็มีความหนักแน่น มั่นคง จึงมักไม่ส่งพลังจิตมารบกวนวิถีของสิ่งรอบข้าง
ทัศนคติของดาวที่อ่อนไหวจึงสำคัญต่อชีวิตในดาวมารดา เพราะหากดาวนั้นเกลียดชัง จะส่งจิตภาวนาอธิษฐานให้การพิพากษาและลงโทษในบาปผิด หรือแม้แต่ส่งเคราะห์ร้ายมายังสิ่งที่ตนเฝ้ามอง หากดาวบางดวงรักและสงสาร ก็กลับอธิษฐานภาวนาจิตส่งผลดีและความช่วยเหลือ แต่อย่างไรก็ดี เป็นเพียงผู้เร่งเร้า ผู้โน้มนำ และผู้อ้อนวอน แต่ไม่ใช่ผู้กำหนดชะตากรรม เพราะผู้กำหนดคือผู้ที่มีพลังอำนาจที่กำหนดวิถีโคจรให้เหล่าดาว ซึ่งยิ่งใหญ่กว่าดาวอย่างหาที่เปรียบมิได้
ดาวบางดวงเมื่อถึงวาระที่กำหนด ก็จะเติบโตขึ้น และอำนวยตนเองให้เหมาะสมต่อการดำรงอยู่ของชีวิต เมื่อนั้นสวรรค์จะส่งชีวิตเข้ามาในครรภ์ของดาว และเธอจะกลายเป็นมารดา ที่มีเจตน์จำนง แห่งการเลี้ยงดูและรักษาชีวิตที่กำเนิดในเธอ และเธอจะกลายเป็นที่สนใจของเหล่าดาวอื่นๆทั่วจักรวาล แต่เธอจะสงบนิ่งลง และสนใจแต่สิ่งมีชีวิตที่เกิดในครรภ์ของเธอ และดำเนินตนเองไปในวิถีแห่งการดำรงสรรพชีวิตนั้นให้ยาวนานที่สุด