Chapter 13 ชินชิน และ ความลับที่ถูกเปิดเผย
ฟูดินันเวลานี้เริ่มเข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว แม้จะเข้าสู่ฤดูหนาวแต่อุณหภูมิก็ไม่ได้ลดต่ำจนเย็นจัด จะมีก็แต่เวลากลางคืนจนถึงเช้าตรู่ที่อากาศจะเย็นมาก แต่พอดวงอาทิตย์เริ่มขึ้น อากาศก็จะค่อยๆ อบอุ่นขึ้นตามลำดับ เครื่องแต่งกายของชาวฟูดินันในช่วงเวลานี้จึงมิดชิดกว่าปกติแต่ก็ไม่ใช่หนาจนเทอะทะ และเพราะช่วงเวลานี้ของปีเวลากลางวันจะสั้นลง กิจกรรมต่างๆ ของชาวฟูดินัน จึงน้อยลงตามไปด้วย และแน่นอนว่าการฝึกฝนของกลุ่มกองทัพน้อยแห่งฟูดินัน ก็ถูกจำกัดเวลาลงด้วย ซึ่งกลุ่มดังกล่าวก็คือกลุ่มเด็กชายที่อิสฮานได้รวบรวมขึ้นเพื่อปกป้องฟูดินันจากกองโจรของฟูมินนั่นเอง ชื่อ”กองทัพแห่งฟูดินัน”นี้ บรรดาชาวบ้านใช้เรียกอย่างไม่เป็นทางการ หลังจากผลงานการปกป้องเมืองของเด็กชายคราวนั้น ทำให้บรรดาชาวฟูดินันพากันตั้งให้เพื่อยกย่องการกระทำที่กล้าหาญของพวกเขา
วันนี้ก็เช่นกันที่อิสฮานไม่ต้องไปฝึกซ้อมร่วมกับเด็กชายคนอื่นๆ เขาเดินถือตะกร้าและถุงกระสอบเคียงข้างไปกับวานาอัน จากเด็กชายที่คอยวิ่งตามหลังหญิงสาวต้อยๆ เวลานี้เขาก้าวขึ้นมายืนเคียงข้างหญิงสาว โดยที่ต่างก็ไม่ได้สังเกตว่าตำแหน่งการเดินของทั้งคู่เปลี่ยนไปตั้งแต่เมื่อไหร่ เวลานี้อิสฮานสูงเท่ากับวานาอันแล้ว เขาสูงขึ้นเร็วมากตั้งแต่มาอยู่ที่ฟูดินัน นี่คงเป็นเพราะความอุดมสมบูรณ์ของอาหาร อากาศที่บริสุทธิ์ และการออกกำลังกายสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะด้วยการช่วยงานบ้านทุกอย่างของบ้านบันดาราหรือการฝึกฝนร่างกายของตนกับบรรดากลุ่มกองทัพน้อยแห่งฟูดินัน จึงไม่น่าแปลกใจว่าอิสฮานทั้งสูงขึ้นและร่างกายเริ่มมีมัดกล้ามขึ้นให้เห็น ต่างจากร่างกายที่แลดูเก้งก้างและผอมบางอย่างเมื่อครั้งที่ยังอยู่ที่ซาโลม ที่นั่นเขามีนางกำนัลและทหารมากมายคอยปรนนิบัติรับใช้ทุกอย่าง แต่ดูเหมือนว่าความเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกายนี้ วานาอันแทบจะไม่สังเกตเห็นเลย คงเป็นเพราะความชินตาเนื่องจากเห็นเด็กหนุ่มทุกวันนั่นเอง แม้กระทั่งตัวอิสฮานเองก็ไม่ได้สังเกต เขาเพียงแต่รู้สึกว่าตนเองแข็งแรงและมีกำลังมากขึ้นเท่านั้น
ทั้งสองยังคงเดินลัดเลาะผ่านต้นไม้และพุ่มไม้ไปเรื่อยๆ อย่างไม่รีบเร่ง อากาศยามเช้าแม้จะให้ความรู้สึกหนาวเล็กน้อยแต่ก็สดชื่นและน่ารื่นรมย์ไม่น้อยทีเดียว เสียงนกร้องที่เพิ่งออกหากิน เสียงลมเย็นที่พัดวูบมาเป็นระยะๆ พัดพาเอากลิ่นหอมของดอกไม้ป่าที่เนื้อที่เพื่มจะบานรับลมหนาวปีนี้มาเข้าจมูก ดอกไม้ป่าในช่วงฤดูหนาวก็มีอยู่หลายพันธุ์ ซึ่งบางพันธุ์ก็ใช้เป็นส่วนประกอบของยาสมุนไพร เพื่อรักษาพิษไข้จากลมหนาว หญิงสาวยิ้มอย่างอ่อนหวานเมื่อได้กลิ่นหอมเย็นชื่นใจโชยมาตามลม เธอมักนึกฉงนระคนอัศจรรย์ใจทุกครั้ง เมื่อนึกถึงระบบกลไกต่างๆ ของธรรมชาติที่มักสอดคล้องกันอย่างพอเหมาะพอเจาะ ก็อย่างเช่น ดอกไม้ป่าที่ขึ้นในฤดูหนาวสามารถรักษาโรคที่เกิดขึ้นในฤดูหนาวได้ สมุนไพรแต่ละชนิดล้วนมีคุณสมบัติแตกต่างกัน แต่คุณสมบัติเหล่านั้นช่วยเหลือบำบัดรักษาโรคให้แก่มนุษย์ เหมือนมีใครจัดเตรียมพืชเหล่านี้ไว้ให้แก่มนุษย์
“พี่วานาอัน คิดอะไรอยู่หรือ?” อิสฮานซึ่งเห็นหญิงสาวยิ้มละไมเหมือนกำลังคิดอะไรเพลินอยู่จึงอดถามขึ้นด้วยความอยากรู้ไม่ได้
วานาอันหันหน้ามามองพยายามกลั้นยิ้มก็จะหัวเราะคิกออกมาอย่างน่ารัก
“ในที่สุดก็ยอมพูดแล้ว ทำเป็นเงียบมาตั้งสองวัน ไม่ยอมพูดไม่ยอมจา ที่แท้ก็เสียงแตกหนุ่มแล้วนี่เอง” วานาอันพูดพลางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ทว่าคนนั่งหน้าแดงถึงใบหูแล้ว หญิงสาวยังคงอมยิ้มจนดวงตาเล็กหยี๋ เอียงคอมองหน้าเด็กหนุ่มด้วยความเอ็นดู เมื่อเห็นใบหน้าของเขายังแดงกำ เธอเคยแต่เป็นคนหน้าแดงก้มหน้าก้มตาเมื่อถูกคนอื่นจ้องมอง เวลานี้กลับได้มาเป็นคนที่ได้จ้องมองคนอื่นหน้าแดงก็ให้ความรู้สึกแปลกใหม่ไม่น้อยเลยทีเดียว
“ไม่เห็นจะต้องพูดทักขึ้นมาเลย” อิสฮานพูดด้วยเสียงแปร่งพร่า เขาเริ่มเสียงแหบมาสองสามวันแล้ว ทีแรกเขาคิดว่าตนเองป่วย เพราะไม่เคยรู้ว่ามีกระบวนการเปลี่ยนเสียงจากเสียงแหลมเหมือนเด็กไปเป็นเสียงผู้ใหญ่ด้วย ที่จริงหากเขายังอยู่ที่ซาโลม ท่านนาริสคงจะให้ความกระจ่างกับเขาได้ในทันที แต่เมื่อมาอยู่ในฟูดินันเขาก็ไม่ค่อยได้พูดหรือปรึกษากับใครมากนักเพราะกลัวจะหลุดปากเผลอพูดอะไรที่เป็นพิรุจ จึงคิดว่าหากเป็นอาการป่วยร่างกายก็คงรักษาได้เอง เพราะเขาก็ไม่ได้เจ็บปวดอะไรมีแค่อาการเสียงแหบ คงแต่เป็นไข้หรืออะไรทำนองนั้นและอีกอย่างเสียงแหบพร่าที่ฟังแล้วแปร่งหูเช่นนี้ ฟังดูน่าขันจะตาย เขาจึงคิดว่าพูดให้น้อยเข้าไว้จะดีกว่า แต่เมื่อเย็นวันก่อน เด็กหนุ่มในกลุ่มของเขาคนหนึ่งก็มีอาการคล้ายเขา ทีแรกเขาคิดว่ามันเป็นโรคติดต่อ แต่ที่สุดแล้วจึงได้รู้จากเด็กหนุ่มคนนั้นว่า นี่คืออาการเสียงแตกหนุ่ม ซึ่งเด็กชายทุกคนต้องเป็นในช่วงอายุประมาณนี้ เหมือนเป็นการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ขึ้นไปอีกขั้น เขาก็รู้สึกยินดีไม่น้อยว่าเขามีเครื่องหมายว่าเติบโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้น เขาอยากจะโตให้ทันวานาอันเพื่อเขาจะได้ปกป้องดูแลเธอได้ ทว่าน้ำเสียงที่ฟังดูตลกในเวลานี้ ให้ใครได้ยินน้อยที่สุดน่าจะดีกว่า