Chapter 12 ความผิดพลาดของแอสเซนเซียโน่
ภายในห้องประชุมของเหล่าแม่ทัพของฟีเลเซีย มีเสียงวิพากวิจารณ์ดังไปทั่ว เสียงประนามหยามเหยียด ดังขึ้นเป็นระยะๆ และที่ดูทีท่าจะไม่สงบลงง่ายๆ ทั้งนี้ก็เพราะสายสืบของกองทัพรายงานมาว่า กองทัพซาโลมแอบสร้างป้อมปราการลับขึ้นมา ไกลออกไปทางทิศตะวันออกของเทือกเขาคีรีบันดา ป้อมปราการลับนี้สร้างบริเวณใต้ชะง่อนผาขนาดใหญ่ โดยอยู่สูงขึ้นไปเกือบถึงช่วงกลางของเทือกเขา ซึ่งเป็นบริเวณที่มีต้นไม้ใบหญ้าขึ้น เนื่องจากมีลำธารสายเล็กๆ หลายสายอันเกิดจากการละลายของน้ำแข็งบนยอดเขาคีรีบันดาไหลหล่อเลี้ยงพืชพันธุ์ต่างๆ ทั่วบริเวณ ทำให้มีสัตว์เล็กๆ หรืออาจมีกระทั้งสัตว์ใหญ่ให้ทหารซาโลมได้ล่าเป็นอาหาร แผนที่จะกดดันให้กองทัพซาโลมอดยากจนอ่อนแอหรือถอนกำลังเพราะขาดเสบียงจึงแทบจะล้มพังไม่เป็นท่า
“สายของเรารายงานว่า พวกมันสร้างป้อมฝั่งลึกเข้าไปในเทือกเขา และภายในคงจะพรุนเป็นรังมดเลยเชียวละ เพราะมีการลำเลียงเศษหินดินทรายออกมาทิ้ง ภายนอกป้อมตลอดเวลา” แม่ทัพชาร์ล กล่าวทูลเสียงเครียด
“การที่พวกมันสร้างป้อมลึกเข้าไปในเทือกเขาเช่นนี้ ทำให้บรรดาสายลับของกระหม่อมไม่สามารถสั่ง นก ซอร์ว วิง เข้าไปสืบความเคลื่อนไหวภายในได้เลยพ่ะย่ะค่ะ” หัวหน้าหน่วยสอดแหนม ฟอล์คเนอร์ ทูลเสียงเครียด
“แล้วทางฟูดินันล่ะ?” กษัตริย์ซิกมันด์ตรัสถามเสียงเครียด “สายสืบของพวกเจ้าสืบความได้อย่างไรบ้าง?”
“ทางอากาศ เราส่งนักค้นหา มือดีที่สุดของเราออกไปสำรวจโดยรอบแล้ว แต่ว่าชะง่อนหินขนาดใหญ่นั่นเป็นอุปสรรคสำคัญ ทำให้การสอดแนมภายในป้อมหินนั้นยากลำบากมาก ดังนั้นเราจึงตัดสินใจส่งนักล่าแห่งฟูดินันลอบเข้าไปใกล้พื้นที่ที่สร้างป้อมช่องขนาดใหญ่ที่ถูกเจาะไว้เพื่อเป็นช่องระบายอากาศถูกก่อกำแพงล้อมสูง มีเวรยามเฝ้าแน่นหนา เราเชื่อว่าภายในเทือกเขาถูกเจาะลึกเข้าไปหลายชั้น และลึกมากพอดู พวกชั้นลึกๆ คงจัดไว้ให้พวกกองทัพผีอยู่และเป็นที่ผลิตทหารผี เพราะพวกมันไม่จำเป็นต้องใช้อากาศหายใจ ส่วนพวกรอบนอกและพวกอยู่ใกล้หน้าป้อมปราการของพวกทหารที่เป็นมนุษย์ ส่วนโครงสร้างของป้อมหินนี้ แม้หน้าป้อมปราการหินจะกว้างมากก็จริง แต่ที่ดูทีท่าว่าพวกซาโลมจะสร้างกำแพงหินปิดปากทางเข้าเพื่อบดบังการสอดแนมของฝ่ายเรา เพราะพวกมันเริ่มขุดร่องลึกรอบเขตหน้าป้อมปราการ หากพวกมันทำได้สำเร็จพวกเราก็แทบจะไม่สามารถรู้ได้เลยว่าพวกซาโลมทำอะไรกันหลังกำแพงนั่น” ฮารีซันซึ่งบัดนี้กลายเป็นกษัตริย์แห่งอาณาจักรฟูดินันแล้วพูดขึ้น เขาใช้คำว่าเราเสมอเพราะการตัดสินใจกระทำการใดๆ มาจากความเห็นชอบของแม่ทัพฟูดินันทุกคน เขาไม่เคยมีความคิดที่จะโอ้อวดผลงานใดๆ ว่าเป็นความเก่งกล้าสามารถของตน ทว่าการกระทำเช่นนั้นแม้จะน่ายกย่องแต่ก็ทำให้ผู้อื่นตีเจตนาผิดเพี้ยนไปได้ว่า เป็นผู้นำที่ขี้ขลาดและอ่อนแอ เพราะหากเกิดความผิดพลาดขึ้นการใช้คำว่า “เรา” ก็เหมือนกับการปัดความรับผิดชอบว่ามิใช่ตนเพียงคนเดียวที่ตัดสินใจ โดยเฉพาะบรรดาแม่ทัพนายกองของฟีเลเซียที่ถูกฝึกสอนให้เกียรติยศและศักดิ์ศรีเป็นสำคัญ
“นั่นมันแทบไม่ต่างจากการส่งชาวบ้านธรรมดาไปสอดแนมเลยไม่ใช่หรือ? ข้าว่าหากส่งเด็กชายชาวฟิเลเซียไปสอดแนม คงรู้อะไรมาได้มากกว่าคนของท่านล่ะมั้ง?” เสียงนายกองจากท้ายแถวตะโกนขึ้น ทำให้บรรดาแม่ทัพหลายนายพากันขำ แต่ก็มีหลายคนไม่ชอบใจเช่นกัน ด้านทราเฮิร์น แม่ทัพเซนทอร์นั้น โกรธจนลมแทบจะออกหูเขารู้ดีว่า แม้จะรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับอาณาจักรฟิเลเซียมาหลายปี แต่สำหรับแม่ทัพหลายๆ นายในฟิเลเซีย ฟูดินันก็ยังคงดูด้อยค่าในสายตาของพวกเขา แม้ฮารีซันจะยกมือขึ้นห้าม แต่แม่ทัพทราเฮิร์นก็ยกกีบเท้าหน้าขึ้นฟาดพื้นสุดแรงหมายจะปรามขุนศึกชาวฟีเลเซียให้สงบปากสงบคำ แต่กีบเท้ายังไม่ทันถึงพื้นเสียงแสดงความไม่พอใจก็ดังสวนขึ้นก่อน
“โอหังและหยาบคายที่สุด ผู้ที่เจ้าพูดจาดูแคลนคือกษัตริย์แห่งฟูดินันน่ะ เป็นผู้ที่ร่วมรบเคียงข้างฟีเลเซียมาหลายปีซ้ำยังเคยช่วยชีวิตข้าด้วย แทนที่จะให้เกียรติเจ้ากลับพูดจาหยาบคาย เจ้ายิ่งใหญ่มาจากไหนกัน” เจ้าหญิงเรจิน่าตรัสด้วยเสียงอันดัง พระพักตร์แดงขึ้นด้วยอารมณ์โกรธ