หลังมหาสงครามแห่งเมอริเซียจนก่อกำเนิด4อาณาจักร ก็ทิ้งทั้งซากปรักหักพัง และดินแดนรกร้างมากมาย พื้นที่ราบบริเวณชายแดนของฟีเลเซียและฟูดินันคือแคว้นวาเนียน ซึ่งแท้จริงเดิมมีเต่ายักษ์ที่แบกเมืองไว้อยู่บนกระดองของมันหลับไหลอยู่ เมื่อกษัตริย์ซิกมันด์ที่3 ทำให้มันบินขึ้นย้ายไปตั้งเป็นเกาะในทะเล หลังจากสงครามแยก4อาณาจักร ที่นั่นก็เป็นที่ร้างว่างเปล่า หลายปีผ่านไป สายน้ำเริ่มหลั่งไหลลงเป็นแม่น้ำ สายธารก็พัดพาชีวิต และพืชพรรณ จนที่นั่นกลายเป็นที่ตั้งเมืองใหม่ชื่อ มิราบิลิส(Mirabilis) โดยมีเจ้าชายเอลียาห์ บุตรชายคนแรกของฮารีซันกับเรจีน่า เป็นผู้ปกครองคนแรก
เมืองนี้เป็นเมืองบริวารของฟีเลเซียต่อมาจึงแยกตัวเป็นเอกราชในอีก139ปีต่อมา แม้ประเทศจะเล็กและมีทรัยากรไม่มาก แต่โดยพื้นที่นั้น จากแคว้นวาเนียนเดิมตรงกลางระหว่างฟีเลเซียและฟูดินั้น ยังมีพื้นที่ยาวต่อลงไปจนถึงชายฝั่งด้านล่าง ทำให้แม้ประเทศจะเล็กและมีทรัยากรไม่มาก แต่ได้ผันตัวเป็นเมืองเศรษฐกิจที่มีพื้นที่เชื่อมโยง3ประเทศคือ ฟีเลเซีย ฟูดินัน และแอนดิซอง
มิราบิลิส มีบรรดาลูกครึ่งฟีเลเซีย และฟูดินันมากมาย โดยจะมีลักษณะเด่น2แบบ คือ
1. ผมสีน้ำตาล ตาสีเขียว
2. ผมมีสองสีปนกันในศรีษะคือทองและน้ำตาล ตาสีดำ
เมืองนี้มีลักษณะพิเศษคือได้รับความเจริญจากฟีเลเซียและแอนดิซอง และอุปนิสัยสนุกสนานเรียบง่ายแบบฟูดินัน ในทางกลับกัน มีความใจดีมีน้ำใจน้อยกว่าฟูดินัน และมีความมุ่งมั่นจริงจังน้อยกว่าชาวฟีเลเซีย
เมื่อดินแดนนี้ได้รับเอกราชครบ75ปี ได้มีการตั้งโรงเรียนขึ้นโดยนักผจญภัยผู้ยิ่งใหญ่ เซคาริยาห์ มาวิน ต้องการตั้งโรงเรียนสำหรับทุกคน ทุกชนชั้นและทุกอาชีพ และทุกชนชาติ
เซนต์ อไควนัส อคาเดมี จึงก่อตั้งขึ้นด้วย3คณะหลักในครั้งแรก ประกอบด้วย
1.เวทยาการ
2.ศิลปะการต่อสู้
3.วิทยาศาสตร์
ทุกสาขาวิชาต้องเรียนศาสนา และจริยธรรม ก่อนจะแยกย่อยออกไปโดยมีอีก7สาขาแยกย่อย และอีก15วิชาเอกและอีกหลายร้อยClass จนกล่าวได้ว่าเป็นโรงเรียนที่สอนอาชีพได้ครอบคลุมที่สุดในโลกภายในเวลา53ปีต่อมา
มาธิอัสไบล์ธ นักมังกรศาสตร์ผู้มีชื่อเสียงเกิด เมื่อโรงเรียนนี้อายุได้12ปี และต่อมาเมื่อเขาอายุ39ปีได้เป็นอาจารย์สาขามังกรศาสตร์ โดยเป็นหัวหน้าภาควิชาที่ซาโลมอนอาคาเดมี่ และรับเชิญสอนที่ เซนต์อไควนัส อาคาเดมี่ เมื่ออายุ45ปีด้วย
หลังจากมาธิอัสเสียชีวิตได้5ปี ลูกศิษย์รุ่นสุดท้ายของเขา รีเบคก้า ได้เป็นนักมังกรศาสตร์หญิงที่มีชื่อเสียง จากเซนต์อไควนัสอาคาเดมี่ สามารถเลี้ยงลูกมังกรแสงจนเติบโต(นอกจากในธรรมชาติ และในวิหารเซนต์ลอเรนซ์ ไม่มีใครเลี้ยงลูกมังกรขาวสำเร็จ) และมังกรของเธอเป็นมังกรแสงในตำนานที่มีเพียงตัวเดียวในโลกที่ถูกเลี้ยงดูโดยมนุษย์และเธอได้ เขียนอธิบายทฤษฎีของมาธิอัสให้ละเอียดยิ่งขึ้น จนอไควนัสอาคาเดมี่ เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่เป็นเป้าหมายของนักมังกรศาสตร์และผู้เลี้ยงมังกรที่จะมุ่งมาศึกษา
ในปีครบรอบ507ปีของสถาบัน ก็ได้เกิดเหตุที่ทำให้ชื่อเสียงของสถาบันนี้ถูกเล่าขาน เมื่อมีนักเรียนกลุ่มหนึ่งได้สร้างวีรกรรมเล็กๆ แม้พวกเขาไม่ได้ตั้งใจเป็นตำนาน แต่สถานการณ์ก็สร้างวีรบุรุษ จากการตามหาละอองดาวตกกลายเป็นการเผชิญหน้าจอมเวทย์มารที่ทุกคนคิดว่าเป็นเพียงเรื่องราวในตำรา

ไรน์ เด็กแปลกที่มาประหลาด
เดิมที ไรน์เป็นเด็กที่ดูแสนจะธรรมดา ลูกชายพ่อค้าแห่งเมืองท่ามิราบิลิส ที่ไม่มีอะไรโดดเด่นสะดุดตาเลย จนเมื่ออายุได้8ขวบ เขาพลัดตกจากท้ายเรือสินค้าขณะติดตามพ่อเดินทางทะเลไปแอนดิซอง ทำให้ไม่มีใครรู้ว่าเด็กน้อยโดนกระแสน้ำจากท้ายเรือเหวี่ยงจนร่างดิ่งลงก้นมหาสมุทรและไม่มีโอกาสร้องขอความช่วยเหลือ จนเวลาผ่านไปพ่อของเขาพบว่าลูกชายหายไป ออกตามหาลูกทั่วเรือแล้วก็ไม่พบ จึงได้ตื่นตระหนกสิ้นหวังว่าลูกคงตกน้ำตายไปแล้วแน่ๆ แต่ทว่า ไม่กี่ชั่วโมง เสียงเรียกแว่วๆจากมหาสมุทร เด็กชายลอยคออยู่ที่ด้ายซ้ายของเรือ ผู้เป็นพ่อดีใจมากรีบลงเรือเล็กกับลูกเรือออกไปรับลูก แต่สิ่งที่นอกเหนือจากความดีใจคือความประหลาดใจ เพราะเส้นผมส่วนใหญ่ของไรน์กลายเป็นสีฟ้าจากเดิมที่เป็นสีน้ำตาลแต่กำเนิด ไรน์เล่าภายหลังว่า ขณะที่เขากำลังจะขาดใจตาย ในความมืดของห้วงน้ำ เขาเห็นชายคนหนึ่งผู้ที่ขาของเขาไม่มีแต่กลับเป็นหางแบบปลาแทน ว่ายอย่างรวดเร็วมาหาเขา และเอาหน้าผากของตนแตะที่หน้าผากของเขา จากนั้นก็เป่าอากาศมากมายมาครอบหัวของเขาจนได้รับอากาศอีกครั้งก่อนที่จะผลักเขาขึ้นบนน้ำอย่างรวดเร็ว พอโผล่ขึ้นมา ไรน์เห็นว่าเรือสินค้านั้นไกลลิบออกไปจวนลับตา เด็กชายว่ายน้ำด้วยความไม่คิดชีวิต คิดแต่ว่าจะรีบไปที่เรือให้ทันแม้ที่จริงมันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แต่เขาก็ว่ายตามเรือมาทันได้อย่างอัศจรรย์
เมื่อกลับบ้านเรื่องของไรน์เริ่มดังไปทั่ว เหล่าแพทย์ทั้งนักเวทย์นักวิทย์ พากันมาตรวจสอบเขา ความน่าจะเป็นจึงสรุปได้ว่าเครือญาติทางแม่ของเขาที่มีเชื้อสายแอนดิซองอาจมีเชื้อสายเงือกด้วยก็ได้ แต่กระนั้นผมสีฟ้าของเชื้อสายเงือกมักมีตั้งแต่เกิดและเกิดจากครอบครัวที่แต่งงานในเครือญาติที่มีเชื้อสายเงือกด้วยกัน แต่กรณีไรน์ตระกูลของเขาเป็นการข้ามมาแต่งข้ามประเทศจนเชื้อสายน่าจะอ่อนจนไม่เกิดปรากฎการณ์แบบนี้ได้แล้ว และเขายังสีผมเปลี่ยนตอนโตแล้วไปอีก
ไรน์กลายเป็นเด็กที่เด่นขึ้นมาในเมืองและโรงเรียน โชคดีที่ชาวมิรามิลิส เป็นชนชาติที่ผสมผสานหลายเชื้อชาติเป็นปกติตั้งแต่ก่อตั้งประเทศ แทนที่จะกลายเป็นเหมือนแกะดำที่โดนรังเกียจ เขากลายเป็นเหมือนสัตว์เผือกที่โดดเด่นในฝูง แต่นั่นไม่ได้ทำให้ไรน์เปลี่ยนไป เพราะเขารู้สึกตัวเองเปลี่ยนไปตั้งแต่แตะหน้าผากกับเงือกหนุ่มผู้นั้น เขารู้สึกรักสายน้ำสายลมแสงแดดและสิ่งที่เป็นธรรมชาติมากกว่าสิ่งที่มนุษย์สร้าง และรู้สึกฮึกเหิมไม่กลัวอะไรเพราะเคยผ่านความตายมาแล้ว เขาตั้งใจไว้ว่าจะต้องตามหาชาติกำเนิดของตนให้ได้ และต้องสืบหาให้ได้ว่า เงือกที่มาช่วยชีวิตเขานั้นเกี่ยวข้องอะไรกับเขา
เบาะแสเดียวที่ไรน์ได้จากการสืบถามเครือญาติฝั่งแม่ที่แอนดิซอง(ที่พากันช๊อคและตกใจที่มีลูกหลานผมสีฟ้า) คือบรรยากาศที่อึมครึม และกระอักกระอ่วน เขาได้รู้ว่าครั้งหนึ่งเคยมีเหตุการณ์เดียวที่มีเงือกมาเกี่ยวข้องคือเมื่อครั้งต้นตระกูลฝ่ายแม่ของเขา ดำรงยศเป็นขุนนางใหญ่ของแอนดิซองในครั้งที่จับเงือกหนุ่มผู้หนึ่งมาเพื่อถามหา ละอองดาวตกชิ้นหนึ่งที่ตกลงสู่มหาสมุทร ตามตำนานว่าเมื่อหลายร้อยปีก่อนเคยมีฝนดาวตกในแถบแอนดิซองนี้ บางส่วนสลายไปก่อนกลางอากาศ บางส่วนตกบนแผ่นดินและกลายเป็นสมบัติล้ำค่าที่ถูกผู้คนตามหาจนแทบหมดจากแผ่นดิน แต่บางเศษเสี้ยวตกลงมหาสมุทรอันเป็นสมบัติที่มนุษย์เอื้อมไม่ถึง และละอองดาวดวงหนึ่งถูกเก็บรักษาในเลอมูเรีย เงือกหนุ่มถูกจับขังและทรมานให้บอกที่ซ่อนอยู่เป็นเดือนจนวันหนึ่งฝนตกหนักเขาก็หายไป เรื่องก็มีแค่นี้ แต่เมื่อไล่ถามสืบค้น ปรากฎว่าภรรยาของท่านขุนนางให้กำเนิดบุตรชายในปลายปีนั้นคนหนึ่ง ซึ่งก็เป็นบรรพบุรุษคนหนึ่งสืบสายมายังแม่ของไรน์ สำหรับเด็กชายนั้นเขาเหมือนประดตูบานใหม่เปิดออก แต่เหล่าญาตินั้นอยากให้เรื่องนี้หายไปกับอดีต เพราะนั่นคือความอับอายของตระกูล ไรน์เข้าใจดีและรู้สึกเสมอว่าคนแอนดิซองมักมองผมสีฟ้าของเขาด้วยสายตาแปลกๆในเชิงไม่ค่อยดี ต่างกับคนที่มิราบิลิส เขาแทบใส่หมวกตลอดเวลาที่นี่และคิดถึงบ้านที่สุด เขาคิดว่าถ้าเขาไม่กลับมาที่นี่อีก บรรดาญาติห่างๆของเขาที่นี่คงสบายใจกว่า
เมื่อ9ขวบย่างเข้า10ขวบ คนแถวบ้านในมิราบิลิสก็ดูจะเลิกเห่อและชินกับผมสีฟ้าของไรน์ เขาพบว่าคนเองมีพรสวรรค์พิเศษในการเข้ากับสิ่งมีชีวิตธาตุน้ำบางชนิดได้ดี เมื่อเขาเข้าฝึกหัดเป็นเทรนเนอร์มังกร ในภาควิชาผู้เลี้ยงมังกรระดับประถมของสถาบันเซนต์อไควนัส เขาก็พบว่าตนเองก้าวหน้าเร็วมาในการฝึกมังกรธาตุน้ำ แล้วรู้สึกเหมือนว่าสามารถสื่อสารจิตใจกันและกันได้ในแบบที่นอกเหนือจากเนื้อหาวิชาที่สอนในโรงเรียน ภายในเวลาแค่ปีเดียวเขาสำเร็จวิชามังกรเทรนเนอร์ขั้นต้นของการเรียน3ปี โดยการมุ่งเน้นเข้าสอบโดยใช้มังกรน้ำเป็นหลัก และถ้าถามว่าใครเป็นไอดอลของเขาในเหล่านักมังกรศาสตร์ กลับไม่ใช่ทั้ง มาธิอัส หรือ รีเบคก้าผู้เป็นปรามาจารย์ และไม่ใช่เซนต์ลอเรนซ์ ผู้กลายเป็นทาลิเวลย่าเทพแห่งดรากูนทั้งหลาย แม้เขาจะชื่นชมทุกท่านเหล่านี้แต่เพียงหนึ่งเดียวที่เด็กประหลาดอย่างไรน์ยกให้เป็นที่สุดสำหรับเขา ผู้ที่เขาถือเป็นผู้สยบมังกรน้ำในตำนานที่ยิ่งใหญ่อลังการที่สุดในโลกตัวหนึ่งอย่างจอร์มันกาด นั่นคือราชินีวิโอเรียแห่งแอนดิซอง ไม่ว่าประวัติศาสตร์จะมีทั้งคนชอบคนชังราชินีผู้นี้ แม้เรื่องอื้อฉาวของพระนางจะเป็นเหมือนรอยด่างในประวัติศาสตร์ แต่สำหรับไรน์ ความจริงที่เธอผู้นี้สยบมังกรน้ำที่ยิ่งใหญ่อย่างจอร์มันกาด แถมยังสามารถคิดค้นวิธีสะกดให้มันจำศีลได้ถึงร้อยปี จนเศรษฐกิจแอนดิซองรุ่งเรืองมากในปลายรัชสมัยของพระนางก็คือความจริงที่ไม่มีใครในเมอร์ริเซียปฏิเสธได้เช่นกัน
Stardust ละอองดาวจากฟากฟ้า
จนถึงเวลาที่เขาคิดว่า จะเรียนต่อในระดับที่สูงขึ้นในภาควิชามังกรศาสตร์ของเซนต์อไควนัส อคาเดมี่ ที่มีชื่อเสียงโด่งดังระดับโลก แต่การศึกษาในภาควิชาระดับสูงของสถาบัน มีข้อกำหนดหนึ่งคือนอกจากคะแนนและผลการเรียนของวิชาต่างๆที่ระบุ ผู้สมัครต้องสำเร็จภารกิจระดับBขึ้นไป ขององค์กร เควสมาสเตอร์แห่งเมอริเซีย ซึ่งไรน์ก็ไม่คิดว่าเรื่องนั้นจะยากเย็นเกินไปสำหรับเขา แต่เพราะว่าเขาดันได้เห็นเควสระดับSภารกิจหนึ่ง ที่ผู้ออกทุนให้ตามหาสมบัติระดับสูง1ชิ้น และมันคือ ละอองดาว ชื่อของสิ่งที่เกี่ยวพันกับชาติกำเนิดของเขานั่นเอง
เด็กชายผู้ไม่กลัวอะไรแม้แต่ความตาย คิดว่านี่คือโอกาสที่ดีที่สุดแล้วที่เขาจะได้ทั้งทำเควสระดับสูงที่ช่วยให้เข้าเรียนสถาบันที่ต้องการได้แน่ๆและยังค้นหาชาติกำเนิดตนเองในเวลาเดียวกัน การตัดสินใจอันแสนบ้าบิ่นจึงเกิดขึ้น